วันเสาร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2557

แทร็ก 9/9




พระอาจารย์

9/9 (551112D)

(แทร็กชุดต่อเนื่อง)

12 พฤศจิกายน 2555




พระอาจารย์ –  รู้ไป ดูไป ...อดทนดูมันไป  ทนต่อจิตที่มันอยากหรือไม่อยากดู ทนต่อจิตที่มันอยากไปดูที่อื่น ทนต่อจิตที่มันอยากไปรู้ที่อื่น ...  ฝึก จนมันยอมรับ จนมันเข้าใจด้วยตัวของจิตเอง นั่นแหละท่านเรียกว่า ปัจจัตตัง เวทิตตัพโพ วิญญูหิ วิญญูชนทั้งหลายสามารถรับรู้ได้ด้วยความเป็นปัจจัตตัง 

เราเป็นวิญญูชนรึยัง ...กายที่นั่งอยู่มา ห้าสิบ หกสิบ เจ็ดสิบ สามสิบ ยี่สิบปีมานี้ เคยน้อมจิตกลับมาดูมันมั้ย เคยเห็นตามสภาพที่แท้จริงของมันจริงๆ รึยัง ว่ามันเป็นแค่ก้อน...ก้อนหนัก ก้อนร้อน ก้อนตึง ก้อนแน่น ก้อนไหว ก้อนเคลื่อน ก้อนวูบๆ วาบๆ ไปมา

จะได้หายโง่ที่มาบอกว่านี่สวย ...แข็งนี่สวย หนักนี่ก็สวยเหรอ เบาก็สวยรึไง  มันสวยตรงไหนล่ะ  หนักนี่เหรอเป็นผู้หญิง มันเป็นผู้หญิงตรงหนักเหรอ มันเป็นหนักเหรอ ผู้หญิงคือหนักเหรอ...ไม่เห็นนี่  จิตมันเห็นเป็นแค่หนัก จิตมันเห็นเป็นแค่กองทึบๆ 

มันเป็นเราตรงไหน ...ไม่เห็นเราในหนักเลย ไม่เห็นมันบอกว่าเป็นเราเลย...ตรงหนัก ตรงอุ่น ตรงเย็นที่วาบๆ ทีที่พัดลมพัดผ่าน ... มันเป็นเราตรงวาบๆ นี้เหรอ มันเป็นหญิงเป็นชายตรงวาบๆ นี้เหรอ...ก็ไม่เห็นนี่ จิตมันไม่เห็น 

แต่ถ้าจิตมันไม่ดูไม่รู้อย่างนี้ มันก็จะเชื่อว่า...ทุกอย่างนี่เป็นเรื่องของเราหมดเลย กายก็ยังเป็นเราอยู่ ...เชื่อเอาแบบโง่งมงาย เชื่อเอาแบบไม่มีเหตุไม่มีผล เชื่อเอาแบบโง่ๆ

แต่ถ้าดูดีๆ ...มันไม่มีเราตรงไหน แม้แต่ส่วนใดส่วนหนึ่ง ในการรู้สึกขึ้นมา ปรากฏขึ้นมาของกาย ...นี่แหละสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอน สิ่งที่พระพุทธเจ้าต้องการให้ทุกคนกลับมาเห็นความจริงเหล่านี้  ไม่ใช่ไปหาความจริงนอกนี้ออกไปไกลโพ้นโน่น  มันเลยเยิ่นเย้อยืดเยื้อไม่จบและสิ้น

ถ้ามาเห็นอยู่แค่นี้แล้ว...จบ จบแค่ความมันเป็นแค่ก้อนธาตุ ก้อนธรรม ก้อนทุกข์กองทุกข์  ไม่ใช่ก้อนของใคร ไม่ใช่กองของใคร ไม่มีใครเป็นเจ้าของได้  

ถ้าทนดูมันไป ทนรู้มันไป  ถึงระยะเวลาหนึ่ง จิตผู้ไม่รู้มันจะเชื่อเองน่ะ ... เพราะมันเถียงไม่ได้หรอก มันเถียงความเป็นจริงของความเป็นก้อนกองนี้ไม่ได้ ...ไม่ยอมก็ต้องยอมแล้ว ยอมออกจากความไม่รู้ ยอมออกจากอวิชชา ความหลง

ก็อยู่ด้วยความเข้าใจ ชัดเจน ในความเป็นแค่...สิ่งใดสิ่งหนึ่ง ที่ปรากฏขึ้น เกิดดับสลับไปมาระหว่างรูปกับนาม  เดี๋ยวเป็นรูปบ้าง เดี๋ยวเป็นนามบ้าง เดี๋ยวเป็นความคิด เดี๋ยวเป็นอารมณ์ เดี๋ยวมาเป็นกายบ้าง แปรปรวน เปลี่ยนแปลงสลับไปมา

และในการแปรปรวนเปลี่ยนแปลงสลับไปมาเหล่านี้ ไม่ได้เป็นธุระหน้าที่ของใครแต่ประการใด ...เป็นการปรากฏขึ้น ประชุมกันขึ้น ชั่วคราวชั่วขณะ ... แสดงความเป็นปฏิจจสมุปบาท ปัจยาการต่อเนื่องไปมาในปฏิจจสมุปบาท 

ไม่ใช่ธุระของใคร ในการหมุนวนแปรปรวนของขันธ์ห้า และของโลก ไม่ใช่ธุระของใคร ไม่มีใครเข้าไปจัดการ ไม่มีใครเข้าไปควบคุมได้ 

จิตมันจะถอนออกจากความเป็นเราในสรรพสิ่ง จิตจะถอนออกจากความเข้าไปยึดมั่นถือครองในสรรพสิ่ง จิตนั้นจะมาเป็นอิสระจากสรรพสิ่ง โดยไม่เข้าไปแตะต้องข้องแวะ

นั่นแหละคือผู้ที่เข้าไปถึงธรรม เห็นธรรมตามความเป็นจริงแล้ว จึงเข้าใจว่า...ไม่มีอะไรเลยเป็นของเรา ไม่มีอะไรเลยที่เข้าไปครอบครองได้  ...อย่าว่าแต่โลกภายนอกเลย แม้แต่รูปกับนามของตัวมันที่มันอยู่ด้วยกันกับใจ ยังครอบครองไม่ได้เลย  

นั่นแหละจึงเรียกว่าเป็นผู้ที่ปลดจากแอก ปลดแอกจากขันธ์ห้า ปลดแอกจากสามโลกธาตุ คือกามภพ รูปภพ และอรูปภพ ไม่ถูกพันธนาการอีกต่อไป ไม่กลับมามีขันธ์ห้าเป็นพันธนาการอีกต่อไป

นั่นแหละจึงเรียกว่าเป็นอิสระที่แท้จริง ...ไม่ใช่อิสระแบบปล่อยให้จิตล่องลอยไปมาโดยไม่ควบคุม คนละเรื่องกัน  แต่นี่คือเป็นอิสระจากโลกและขันธ์ เป็นอิสระของพระอริยเจ้า และอิสระขึ้นไปเรื่อยๆๆๆ 

จนห่างๆๆ ห่างไกลจากขันธ์ห้าแล้ว จนไม่สามารถกลับมารวมกันได้อีกต่อไป  จึงเรียกว่าเหนือโลก เหนือธรรม สิ้นโลก สิ้นธรรม เหนือบัญญัติ เหนือสมมุติ เหนือทุกสรรพสิ่ง ...ไม่อยู่ใต้แล้ว ไม่อยู่ใต้อำนาจของอะไรอีกต่อไปแล้ว

เพราะเข้าใจ ...ไม่ใช่ท่านเก่ง ไม่ใช่ท่านมีอำนาจ มีตบะ มีพลัง แต่ท่านเข้าใจ ...อำนาจมาจากความเข้าใจ พลังมาจากความเข้าใจหรือเห็นตามความเป็นจริง  จึงพลิกขึ้นมาอยู่เหนือโลก จึงพลิกขึ้นมาอยู่เหนือบุญเหนือบาป จึงพลิกขึ้นมาอยู่เหนือขันธ์ห้า ...จนไม่กลับคืนสู่ใต้อำนาจของสรรพสิ่งที่แสดงความเป็นไตรลักษณ์นี้อีกต่อไป

เพราะขันธ์ห้านี่...โลก ท่านมองเห็นแล้ว...ไม่ใช่อะไร นอกจากไตรลักษณ์ ...เกิด ตั้ง แล้วดับ เป็นธรรมดา ...เกิด ตั้งใหม่ แล้วดับใหม่ เป็นธรรมดา...อยู่อย่างนี้  นั่นแหละ ท่านเห็นขันธ์ห้ากับโลกคือไตรลักษณ์อย่างนี้ ...ไม่มีอะไรในขันธ์ห้า ไม่มีอะไรในโลก มีแค่ไตรลักษณ์  ปราศจากตัวตนสัตว์บุคคล ในความเป็นไตรลักษณ์ 

ความเกาะเกี่ยว ความข้องแวะ ความจมแช่ ความเข้าไปหมายมั่นกับสิ่งเหล่านี้...ไม่มี เข้าใจโดยตลอดแล้ว ...และก็ถามว่าเข้าใจโดยตลอดมาจากไหน มาจาก...นั่งรู้ นั่งดู นั่งเห็น นอนรู้ นอนดู นอนเห็น อยู่ในกายใจต่อเนื่อง ไม่ขาดสาย  จนเข้าใจ จนไม่ถูกมันหลอก จนไม่ถูกจิตผู้ไม่รู้หลอกอีกต่อไป

พญามารก็เรียกว่าตามหาไม่เจอ พญามัจจุราชตามหาไม่เจอ  เจอได้แค่ตอนนี้เดี๋ยวนี้ชาตินี้ จากนั้นไปอย่าหานะ อย่าหา “เรา” อีกนะ  เพราะไม่มี “เรา” อีกต่อไปแล้ว พญามารกับพญามัจจุราชก็หา “เรา” ไม่เจอ เพราะไม่มี “เรา” แล้ว ใช่มั้ย 

ถ้าตายกับ “เรา” ... “เรา” ตายนี่ เดี๋ยวก็เจอ...มารก็เจอ มัจจุราชก็เจอ  เพราะมี “เรา” ยังมี “เรา” อยู่ ... แต่ถ้าว่าหาไม่เจอเพราะอะไร  นี่คือไม่มี “เรา” แล้ว ...มี “เรา” แค่เดี๋ยวนี้ ชาตินี้  ...ก็เอาไปเลย ได้แค่นั้น แล้วไม่หวนคืนอีก เป็น อนาลโย

เป็นอนันตมหาสุญญตา  พญามารเข้าไม่ได้ พญามัจจุราชเข้าไม่ได้ สังขารมารเข้าไม่ได้ สังขารธรรมเข้าไม่ได้  เป็นที่อยู่ของสงฆ์สาวกและพระพุทธเจ้า ...จะเรียกว่าที่อยู่ก็ไม่เชิง เพราะมันไม่มีที่อยู่ เพราะไม่ได้เป็นที่ให้อยู่ เขาเรียกว่าเป็นแดน ก็ไม่ใช่เป็นแดน เพราะไม่มีขอบเขต ไม่มีรูปไม่มีนาม ไม่มีสภาวะใดสภาวะหนึ่ง เกินกว่าจิตมนุษย์จะหยั่งถึง ...เป็นอจินไตย

แต่มีอยู่ในนี้ และก็มีอยู่ตรงนี้ ...ทุกคนก็มี แต่มันเข้าไม่ถึง  เพราะไม่มีศีล ไม่มีสมาธิ ไม่มีปัญญา  มันจึงไม่มีโร้ดแมพ ไกด์ไลน์เข้าไป ...ทั้งๆ ที่มันมีอยู่นะ เดี๋ยวนี้ก็มี มีทุกคน  แต่มันถูกครอบ บัง ปิดแน่น จำกัดจำเพาะ ไม่ออกไปแสดงความเป็นสภาพที่ไร้รูปไร้นาม เหนือรูปเหนือนาม เหนือธรรมชาติทั้งหลายทั้งปวง

เราถึงบอกว่าน่าเสียดาย...ที่ปล่อยให้มันตายหายไปพร้อมกับขันธ์ห้า  แล้วก็ไปก่อความห่อหุ้ม...เพื่อไปสร้างขันธ์ห้าขึ้นมาปิดบังต่อเนื่องๆๆ ...ต่อเนื่องไป 

กว่าจะได้มาเรียนรู้ กว่าจะได้มาฝึกอบรม กว่าจะได้เกิดเป็นศรัทธา กว่าจะสร้างศรัทธาแห่งการปฏิบัติขึ้นมาในแต่ละภพแต่ละชาติ ใช้เวลาครึ่งค่อนอายุแล้ว ...บางครั้งโซซัดโซเซ กรรม อกุศลกรรมที่ทำด้วยความรู้ตัวบ้างไม่รู้ตัวบ้าง มันก็มาชักลากให้มีเรื่องราวมากมายจน...ภาษาในโลกเขาพูดว่า จนไม่มีเวลาปฏิบัติธรรม ...มันทุกข์ถึงขนาดนั้น มันมีภาระ มันมีหน้าที่จนต้องพูดกันว่าไม่มีเวลาปฏิบัติ

กว่าจะได้เข้าใจมรรค ทางแห่งมรรค ที่แท้ ที่ตรง ...ทั้งๆ ที่มรรคมีอยู่แล้ว แต่กว่าจะเข้าใจชัดเจน ว่ามันตรงอย่างนี้ ศีลคืออย่างนี้ สมาธิคืออย่างนี้ ปัญญาคืออย่างนี้ ...ไม่ใช่มันจะมารู้ มันจะมาเข้าใจกันได้ง่ายๆ 

ปล่อยเวลาให้ล่วงเลย บางทีครึ่งค่อนชีวิต  เพราะมัวแต่ค้น มัวแต่หาอยู่ มัวแต่เปรียบเทียบ เป็นธรรมะเปรียบเทียบอยู่ เป็นศาสนาเปรียบเทียบ เป็นแค่ปรัชญาเปรียบเทียบ ...เพราะอะไร ...พวกนักคิดนักเขียนมันเยอะ นักวิพากษ์วิจารณ์เยอะ ...แต่นักปฏิบัติจริง...น้อย  ผู้ปฏิบัติจริง...น้อย  ผู้ที่เข้าถึงจริง...ยิ่งน้อยลงไปอีก

ถ้าให้เราว่าก็...มาเกิดตอนนี้ทำไม ทำไมไม่ไปเกิดอยู่กับพระพุทธเจ้าซะเลยล่ะ  เห็นมั้ย มาเกิดเอาเมื่อสองพันห้าร้อยกว่าปี...โลกก็เป็นอย่างนี้ เรื่องราวในโลกก็เป็นอย่างนี้ ความคิดความเห็นของคนในโลกก็จะเป็นอย่างนี้  อย่างที่เราบอกว่าห้าสิบปีก่อนกับเดี๋ยวนี้ไม่เหมือนกัน

แล้วก็คิดดู เมื่อสองพันห้าร้อยปีก่อน มันไม่เหมือนอย่างนี้หรอก ความคิดความเห็นไม่เหมือนกัน ... ทำไมเราไม่ไปเกิดตอนนั้น ยังปล่อยเวลาให้ล่วงเลยๆ เพราะอะไร ...เพราะไม่มีความเพียร เพราะไม่มีปัญญา เพราะไม่เจริญอยู่ในองค์มรรค 

แล้วก็จะเป็นอย่างนี้ จนจะล่วงเลยๆๆ ...จนหมดสิ้นศาสนาหรือเปล่า จนล่วงเลยจนหมดสิ้นพุทธศาสนา อายุศาสนา แล้วมาอยู่ในสุญกัปหรือเปล่า อยู่ในกลียุคหรือเปล่า ...เพราะปล่อยให้ชีวิตไหลผ่านไปวันๆ แบบไม่มีสาระแก่นสาร ปล่อยให้จิตมันหาสิ่งที่ไม่มีสาระมาเป็นสาระแก่นสาร 

น่ากลัว ...ภัยในวัฏฏะสงสารนี่น่ากลัว น่ากลัวกว่าที่เราจะคิดได้ กว่าที่จิตมันจะคิดได้ ... เพราะจิตมันจะไม่เคยคิดในแง่นั้นเลย  คิดแต่ว่าความสนุก สุข สบาย มีอยู่ที่ส่วนไหนมุมไหนของโลก มีอยู่ที่มุมไหนส่วนไหนของสถานที่ มีอยู่ในส่วนไหนมุมไหนของสัตว์บุคคล มันจะไปหา ไปเสพเอา ไปสร้างขึ้น 

มันคิดได้อยู่แค่นั้น จิตน่ะ ... ได้ก็ดีใจ ไม่ได้ก็เสียใจ ได้แล้วหายไปเป็นทุกข์ ไม่รู้  หมดไปหาใหม่ๆ หาได้แล้วไม่พอ หาได้แล้วต้องดีกว่านั้น  นี่คือหน้าที่ของจิตที่มันทำงาน ได้ก็โกรธ ไม่ได้ก็โกรธ ความสุขหายไปก็หงุดหงิด พอได้ความสุขเกิดขึ้นใหม่ก็ดีใจ หายไปก็หงุดหงิด ขุ่นมัว ขุ่นมัวแล้วพยายามดิ้นรนใหม่ 

นี่คืองานของจิต มันทำงานอยู่แค่นี้ ต่ออายุสืบเนื่องไป ข้ามภพ ข้ามโลก กระโดดข้ามจากโลกนี้มาโลกนั้น กระโดดจากโลกนั้นมาโลกนี้ ไม่เหน็ดเหนื่อยเมื่อยหิวแต่ประการใด

เกิดใหม่ตายใหม่...ลืม มาเกิดใหม่ ของเก่าลืมหมด ... ตอนจะตาย ก่อนจะตาย ทุกคนว่า 'ไม่เอาแล้ว ไม่อยากเกิดอีกแล้ว ทุกข์เหลือเกิน ทรมานเหลือเกินร่างกายนี้' ... ก็เห็นนอนสบาย ตายแล้วลืม ...ได้แค่บ่น เบื่อๆ อยากๆ อยู่อย่างนั้นน่ะ เพราะเป็นผู้ที่ไม่ตรงต่อองค์มรรค

อย่าไปมองว่ามรรคหรือการปฏิบัติเป็นเรื่องของพระ เป็นเรื่องของพระอริยะ ท่านเกิดมาเป็นพระอริยะโดยตรง...ไม่ใช่  นี้เป็นเรื่องของสัตว์โลก ที่มีกาย ที่มีใจ ที่มีขันธ์ห้า ...ธรรมนี้เป็นสาธารณธรรม มรรคเป็นสาธารณธรรม ไม่ใช่เป็นธรรมปัจเจกบุคคล หรือว่าจำเพาะพระพุทธเจ้าหรือผู้ที่ถูกกำหนดมาเป็นพระอริยะ ไม่มีอ่ะ ...เป็นสาธารณะ

อดทน ตั้งใจทำ ...ไม่ต้องไปนึกถึงวันเวลา ไม่ต้องไปสร้างเงื่อนไข หาเงื่อนไขมาปิดบัง  น้อมกลับ ระลึกกลับ เพราะกายมีอยู่ตลอด ...แค่กลับมารู้สึกตรงนี้ ที่นั่งก็เห็นอาการนั่ง รู้อาการนั่ง กำลังนั่ง แล้วก็ดูความรู้สึก ไล่ดูความรู้สึกในการนั่ง มีอะไรปรากฏขึ้น 

มันแข็ง มันตึง มันแน่นตรงไหน ก็แค่รู้ ก็แค่ดูมันเฉยๆ ...ไม่ต้องไปวิพากษ์ ไม่ต้องไปวิจารณ์ ไม่ต้องไปสงสัยลังเล ไม่ต้องไปหาความจริงอะไรนอกเหนือจากนี้  แค่รู้ว่านั่ง เห็นอาการโดยทั่วของการนั่ง ด้วยความละเอียด เบา สุขุม อ่อนน้อม ไม่บังคับ ไม่เกร็ง ไม่เครียด ธรรมดา

รู้ไปธรรมดา แล้วก็รักษาความรู้คู่กับกาย ให้มันยืดยาว ให้มันเนิ่นนาน ให้มันต่อเนื่อง ...ไอ้เผลอ ไอ้ลืม ไอ้หายไปน่ะ มันเป็นเรื่องธรรมดา มองเป็นเรื่องธรรมดา ...เป็นทุกคน 

ก็เอาใหม่ รู้ใหม่ เพราะกายก็ไม่หายไปไหนหรอก ...มันหายไปแค่จิตน่ะ จิตมันแค่ลืม หายไป  ...แต่กายไม่ได้หายไปพร้อมกับจิตนะ มันก็ยังมี ทุกครั้งที่กลับมาระลึกรู้

เนี่ย เรียกว่าเพียร เพียรรู้ เพียรระลึกรู้อยู่ในที่นี้ ไม่ท้อถอย ไม่โลเล ไม่เหลาะแหละ ไม่อ่อนแอ ไม่ขี้เกียจ ไม่ทอดธุระ มรรคผลก็งอกงามเอง  วัดด้วยตัวเองได้เลย ไม่ต้องไปถามคนอื่นเลยว่าได้ผลรึยัง ...จิตใจก็จะหนักแน่นมั่นคง อยู่กับเนื้อกับตัวได้ด้วยตัวของมันเอง 

จากที่มันรู้สึกว่า ทุกครั้งที่กลับมาอยู่กับตัวเอง ทุกครั้งที่กลับมาอยู่กับกายปัจจุบันแล้วมันจะอึดอัด มันจะรู้สึกร้อน มันรู้สึกว่าไม่สบายกาย ไม่สบายใจ ...ต่อไปมันจะเห็นผล เกิดความมั่นคง หนักแน่น ร่มเย็น เป็นกลาง อยู่ภายในนั้นแหละ  

แล้วมันเริ่มเข้าใจสภาพแวดล้อม ตั้งแต่สิ่งที่มันรู้...ข้างหน้ามันคือกายออกไปตามความเป็นจริง แยกแยะ ทั้งจริงและเท็จ ทั้งปลอม ทั้งปลอมปน ทั้งเจือปน ทั้งแอบปน มันเห็นหมดน่ะ ...มันมีหมดน่ะ และก็ทั้งที่ตั้งใจจะเอามาปนด้วย มันก็เห็น

จนคัดกรองออก จนเหลือแต่จริง ของจริง ...เพราะอะไร มันเห็นอะไร ...มันเห็นว่าของปน ของปลอมปน ของที่เจือปน หรือไปเอามาปนเอง ...ล้วนเป็นพิษ เป็นโทษ เป็นทุกข์  ทุกครั้งที่มันเอามา ทุกครั้งที่ออกมา ทุกครั้งที่ไปหามา

แต่เมื่อใดที่อยู่กับความเป็นจริง หรือสิ่งที่มันจริงแท้ๆ ล้วนๆ หรือว่ากายก็กายล้วนๆ ไม่มีแอบเป็นเรา ไม่มีแอบเป็นหญิง ไม่มีแอบเป็นชาย ไม่แอบเป็นคน ไม่แอบเป็นสัตว์ ไม่แอบเป็นสวย ไม่มีแอบเป็นไม่สวย ไม่มีแอบเป็นพระเป็นฆราวาส  ...ไม่แอบตรงไหน เป็นกายล้วนๆ คือ เย็นร้อนอ่อนแข็งๆ 

จะรู้เลยว่า ตรงนี้ ที่นี้ รู้ตรงนี้ รู้อยู่ที่นี้ตรงนี้กับธรรมอันนี้ ไม่มีทุกข์ ไม่เกิดทุกข์ แล้วก็ไม่เป็นทุกข์ ...เพราะอะไร  เพราะที่นี้ไม่มี 'เรา'  ...เมื่อไม่มีเราที่นี้ ไม่ต้องไปหาทุกข์ว่ามันจะเกิดตรงไหน หรือเป็นทุกข์กับอะไร เพราะไม่มีเรา 

แม้จะให้มันเห็นแค่ขณะเดียวก็ตาม ดีแล้ว สมควรแล้ว  แล้วทำให้มากขึ้นไปเรื่อยๆ ต่อเนื่องกับกายตามความเป็นจริง มากขึ้นๆ นานขึ้นๆ ต่อเนื่องขึ้นๆ จนเป็นเส้นตรง ...นี่เรียกว่าผู้บำเพ็ญนั้นกำลังทำศีลนี้ให้เป็นศีลวิสุทธิ เพื่อเข้าสู่กายวิสุทธิ ด้วยจิตตวิสุทธิ อย่างที่บอก 

เห็นมั้ยว่าสมัยก่อนนะถ้าใครมาพูดเรื่องวิสุทธิ เรื่องกายวิสุทธิ จิตวิมุติ จิตหลุดพ้นนี่...หูย ฟังไม่ได้ ของมันเกิน เกินกำลัง เป็นเรื่องของพระอริยะท่าน ไม่ใช่เรื่องของเราที่จะมาพูดกันถึง หรือทำถึง  ต้องขึ้นหิ้งบูชาไว้ แตะต้องไม่ได้ มรรคผลนิพพานนี่ 

มันไม่ใช่อย่างนั้น ...มันอยู่ตรงนี้  ทุกคนมี มีอำนาจ มีสิทธิเพียงพอ มีศักยภาพพอ ... ขอให้ทำจริง ปฏิบัติจริง และตรงต่อศีลสมาธิและปัญญา  มันไม่ใช่ของที่ไกลเกินเอื้อม หรือยากเกินทำได้เข้าถึง อย่างที่เคยคิดเคยเข้าใจ


(ต่อแทร็ก 9/10)






ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น