วันอาทิตย์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2557

แทร็ก 9/12



พระอาจารย์

9/12 (551122B)

(แทร็กชุดต่อเนื่อง)

22 พฤศจิกายน 2555



พระอาจารย์ –  แม่ของโยมนั่นก็ตายนี่

โยม –  อ้อ ใช่ค่ะ

พระอาจารย์ –  อยู่ดีๆ รถคว่ำตาย ... ความตายมาแบบไม่คาดฝัน ไม่ได้ทำใจไว้ล่วงหน้า  ก็รู้ว่าจะตายกันน่ะ แต่ไม่คิดว่ามันจะตายเร็วปานนี้ ... นี่น่ะ หาความแน่นอนไม่ได้ 

แต่มันเกิดขึ้นมาแล้วนี่...ความตาย  คนรอบข้างก็มีความเศร้าโศกาอาดูร มันเกิดขึ้น ...การเกิดมาก็ต้องมีการพลัดพรากเป็นธรรมดา มันเป็นของคู่โลก คู่ขันธ์ 

ถ้าไม่เรียนรู้ ถ้าไม่เข้าใจ  จิตมันก็เกิดความเข้าไปเหนี่ยวรั้ง ในความเที่ยงของสิ่งใดสิ่งหนึ่ง  

และเมื่อมันแสดงความไม่เที่ยง ความแปรปรวน ความควบคุมไม่ได้ขึ้นมา ...จิตไม่สามารถยอมรับได้  เกิดความบีบคั้น เป็นโศกา เป็นปริเทวะ คับแค้น อุปายาส คร่ำครวญ 

ถ้าไม่ฝึกให้จิตมันเข้าใจ ให้มันเห็นสภาพ ยอมรับสภาพ ตั้งแต่เดี๋ยวนี้ ...ทุกข์มันก็เกิด เกิดตั้งแต่เกิดยันตาย ทุกข์ซ้ำซาก ทุกข์จำเจ

(ถามโยม) เพิ่งเคยมาฟัง ภาวนาอยู่รึเปล่า


โยม –  ทำค่ะ ทำสมาธิ จิตต้องอยู่กับใจ อยู่กับปัจจุบัน  แต่พอจิตอยู่กับปัจจุบันแล้วก็...ตัวมันก็เริ่มเงียบๆ ไปค่ะ ...แล้วก็อยากรู้ พอเราอยู่จิตนิ่ง เราก็ไม่รู้ว่าต่อไปมันจะเป็นยังไงต่อนี่ค่ะ ก็เลยอยากจะถามพระอาจารย์ ว่าควรจะทำยังไงต่อ

พระอาจารย์ –  ไม่ทำยังไง

โยม –  เป็นมาหลายๆ ครั้งแล้วมันก็เป็นอยู่อย่างนี้ มันไม่ไปต่อขั้นต่อไปซะที

พระอาจารย์ –  จะไปไหน

โยม –  มัน..เคยอ่านในหนังสือ เขาบอกว่าจะขึ้นไปเรื่อยๆ ลำดับขั้นของการปฏิบัติสมาธิปฏิบัติธรรมนี่น่ะค่ะ

พระอาจารย์ –  จะไปไหน

โยม –  ไม่ทราบ ... อย่างแบบจิตนิ่ง ที่เขาอยู่กับนิ่งแล้วไม่เห็นอะไรเลยอย่างนี้รึเปล่าคะ

พระอาจารย์ –  ตัวยังไม่รู้ แล้วจะไปไหน

โยม –  ก็ยังไม่รู้

พระอาจารย์ –  ก็นั่นน่ะสิ  ไม่รู้แล้วจะไปไหนทำไม ...ตรงนี้ยังไม่รู้แล้วจะไปไหนต่อล่ะ

โยม –  ไม่รู้ ...คือเริ่มๆ มันก็เห็นภาพอะไรไปเรื่อยๆ จนภาพทั้งหมดมันไม่มาแล้ว มันเป็นแต่ภาพดำๆ มืดๆ แล้วจิตเฉยๆ

พระอาจารย์ –  นั่นแหละ จะไปไหนอีกล่ะ  จะไปเชียงรายเหรอ

โยม –  แล้วตามหลักแล้ว มันจะเป็นยังไงต่ออย่างนี้น่ะค่ะ

พระอาจารย์ –  จะมาถามอะไรเราล่ะ อย่าถาม ต้องรู้เอง ...ไม่ต้องไปหา รู้อยู่ที่นี้...ที่เดียว  

อย่าไปอยู่ในจิต อย่าไปอยู่ในอาการของจิต อย่าไปหาอะไรในจิต ...มันไม่มีอะไรหรอก ... จะไปเอาอะไร...มีอะไรในกอไผ่

โยม –  ไม่มีอะไร ความว่างเปล่า

พระอาจารย์ –  แล้วจะเอาอะไร  

โยม –  ไม่รู้

พระอาจารย์ –  แล้วจะไปไหน ...ไปตามความเชื่อหรือ ไปตามความเห็น ไปตามความจำ ไปตามที่เขาบอกมา ไปตามที่เขาเล่าว่า ... แล้วจะไปทำไม  เขาหลอกรึเปล่า

โยม –  มันก็อยากจะเชื่อในสิ่งที่เขาพูดเหมือนกัน

พระอาจารย์ –  ก็นั่นน่ะสิ  แล้วจะไปไหนล่ะ ...เมื่อกี้เราก็พูดแล้ว รู้จำ รู้คิด แล้วก็รู้จริง 

ในอาการอย่างนี้ มันจะเข้าไปในรู้จำกับรู้คิด มันจะเข้าไปหาอะไรในรู้จากความจำ มันจะเข้าไปหาอะไรจากรู้จากความคิด เข้าไปแบบไม่มีหูรูดน่ะ เข้าไปแบบไม่บันยะบันยัง

นั่นน่ะเขาเรียกว่าเข้าไปด้วยความลุ่มหลงมัวเมา  มันเป็นความหลง ความมัวเมา...จากความรู้จำและรู้คิด ... แล้วมันก็หาในสิ่งที่มันจำได้ มันก็หาไปในสิ่งที่มันคิดไปล่วงหน้า...โดยเข้าใจว่ามรรคผลอยู่ในนั้น

ทั้งหมดเป็นเรื่องของจำกับคิด หรือว่าความปรุงแต่งของจิตขึ้นมาเป็นความจำ ความปรุงแต่งของจิตขึ้นมาเป็นความคิด ...มันไม่มีอะไรในความจำและในความคิด

มันมีอยู่ที่ความจริง ...ถึงบอกว่าต้องรู้จริง ต้องรู้อยู่กับความจริง รู้เห็นอยู่กับสิ่งที่มีจริง ...เพราะนั้นอะไรล่ะที่มันมีจริง รู้จริง ตั้งอยู่จริงในปัจจุบัน ...อันนั้นน่ะ ให้รู้อยู่กับสิ่งนั้น 

เพราะนั้นสิ่งที่มันจริง ปรากฏอยู่ในปัจจุบันชัดเจนที่สุด ไม่มีอะไรเกินกายหรอก ... มันชัดไหมนี่ กายนี่ เป็นของปรากฏมีจริงอยู่ในปัจจุบันนี่ ชัดมั้ย


โยม –  ชัด แต่มันก็ไม่เที่ยง

พระอาจารย์ –  คิดอีกแล้ว

โยม –  มันก็ดูการดับไปใช่ไหม

พระอาจารย์ –  มันจะเป็นอะไรก็ให้อยู่กับความเป็นจริงของกายในปัจจุบัน จึงจะเรียกว่ารู้จริง รู้อยู่กับสิ่งที่มีอยู่จริง 

แล้วมันจะเที่ยงหรือมันจะไม่เที่ยง มันจะเกิด มันจะดับ มันจะตั้ง มันจะมาก มันจะอะไร ...ก็รู้อยู่ว่ามันมีอยู่ตรงนี้ แล้วมันก็แสดงอะไรอยู่ตรงนี้  เนี่ย จะไปไหน...แล้วมันจะไปไหนดีล่ะ

โยม –  ไม่ทราบ  แล้วความรู้สึกแปลกที่มันเข้ามา แบบบางทีเข้าไปปุ๊บ แล้วมันเหมือนอยู่อีกภวังค์นึงเลยอย่างนี้ มันมาทำไม มาเพื่ออะไรอย่างนี้

พระอาจารย์ –  เรื่องของมัน จะไปยุ่งกับมันทำไม


โยม –  ก็บางทีทำให้เราแบบ..ตั้งตัวไม่ได้อย่างนี้น่ะค่ะ เดินไปเห็นภาพอีกมิตินึง ... เมื่อปีก่อนมาก็เป็นที ขี่มอเตอร์ไซค์ไปแล้วพอมันมาปุ๊บ ทำให้เรารถมอเตอร์ไซค์ล้ม มาสองครั้งเลยน่ะค่ะ

พระอาจารย์ –  มันจะเป็นอะไรก็ช่าง แต่ว่าให้กลับมารู้ตัว อยู่กับตัว อยู่กับกาย ...ตอนนั้นไม่มีกายแล้วเข้าใจมั้ย มันหลงเข้าไปแล้ว มันหลงไปกับสิ่งต่างๆ นานา 

ไม่ต้องไปหาเหตุหาผล หาถูกหาผิดกับไอ้สิ่งต่างๆ นานา หรอกว่ามันคืออะไร ...ให้กลับมาอยู่กับกาย รู้ตัวไว้  ...มันไม่มีอะไร แล้วก็จะเห็นว่ามันไม่มีอะไรในกอไผ่หรอก  เราไปให้ค่า ไปให้ความสำคัญกับมันขึ้นมาเท่านั้นเอง

กายเนี่ย เราอยู่กับกายนี่ เราภาวนากับกายนี่ เราภาวนารู้กายแบบทิ้งๆ ขว้างๆ กันจริงๆ  มันถึงบ้าบอคอแตกกันไปหมด ไม่รู้อะไรต่ออะไร 

จิตน่ะ บ้าบอคอแตก เรื่องของจิตทั้งนั้นเลย สภาวะอะไรก็ไม่รู้ แล้วก็จับมาเป็นตุเป็นตะ เป็นจริงเป็นจัง เป็นมรรคเป็นผลอะไรลอยๆ ขึ้นมาซะอย่างนั้นน่ะ

เพราะมันภาวนาออกจากความเป็นจริง มันภาวนาหนีความเป็นจริง ภาวนาออกไปหาสิ่งที่มันไม่จริง ...มันเลยสับสน สงสัย ขุ่นมัว ลังเล วนไปวนมา ออกไม่ได้ ไม่รู้จะแก้ยังไง 

เหมือนลงเข้าไปในภวังค์ที่มันหมุนวน อะไรก็ไม่รู้อยู่ในนั้นน่ะ ...เพราะมันไปอยู่กับความคิดความจำทั้งหมดเลยของจิต 

ภาวนาก็มะงุมมะงาหรากันไปหมด จับต้นชนปลายไม่ถูก วันนี้อย่างพรุ่งนี้อีกอย่าง วันนี้อีกอย่างพรุ่งนี้ก็อีกอย่าง ...ทั้งๆ ที่ว่าของจริง ของมีอยู่นี่ ...มันไม่อยู่ตรงนี้น่ะ 

มาถึงก็ตั้งเป้าไว้เลย...จะวิ่งไปไหนดี จะไปหาอะไรดี วันนี้จะเจออะไรมั่ง จะเห็นอะไร จะไม่เห็นอะไร ...ภาวนากันแบบลูบๆ คลำๆ กันทั้งสิ้นเลย

เพราะมันภาวนาหนีออกจากความเป็นจริง ภาวนาเกินศีลเกินกาย...เกินกายปัจจุบัน เกินศีลปัจจุบัน  มันถึงวุ่นวี่วุ่นวาย สับสนอลหม่าน จับต้นชนปลายไม่ถูก 

แล้วก็ไปเปิดตำรา หาตำรามาสนับสนุนสภาวะตรงนี้ตรงนั้น แล้วก็คอยมาเทียบมาเคียง มาคาดมาเดา มาสุ่ม มาให้คะแนน มาให้ค่าของการปฏิบัติของตัวเจ้าของ...ว่าดี ว่าถอย ว่าถูก ว่าผิด

สุดท้ายก็ไม่ได้อะไร  ทุกข์ก็ยังเต็มดวงจิตดวงใจเท่าเดิม กิเลสก็ยังห่อหุ้มเท่าเดิม ความไม่รู้ก็ยังไม่รู้...มากยิ่งขึ้นด้วยซ้ำ  ยิ่งภาวนาไปยิ่งสับสนมากยิ่งขึ้นด้วยซ้ำ 

เพราะมันมีหลายช่องทางเหลือเกิน มีหลายสภาวะเหลือเกิน มีหลายเหตุการณ์เหลือเกิน มีอะไรแปลกๆ ใหม่ๆ มาตลอดเวลา ...แล้วจะไปทางไหนดี จะเอาอะไรดี 

ทั้งหมดมันเกิดขึ้น เพราะมันภาวนาออกนอกกาย ภาวนาออกนอกกรอบของศีลของกาย ...พอให้กลับมาอยู่กับกาย...กับกายเดียว กายปัจจุบัน ก็เห็นแต่อาการที่นิ่งๆ เกิดๆ ดับๆ ก็เบื่อแล้ว 

มันไม่มีสีสัน มันไม่มีสภาวะอะไรแปลกใหม่ มันไม่มีอะไรเลิศเลอ มันไม่มีอะไรเหมือนคนอื่นที่เขาพูดเขาเล่า หรือเขาแนะหรือเขาบอก ...ก็ทิ้งแล้ว ไปหาความไม่จริงต่อ 

มันเลยกลายเป็นภาวนาแบบมักง่าย เอาเร็ว เอาสะดวก เอาตามความพอใจ 

คือถ้าอยู่ตรงนี้แล้วจิตมันจะแสดงความไม่พอใจ มันก็เบื่อ  จะไปหาอะไรที่ดีกว่านี้ สว่างกว่านี้ สดใสกว่านี้ เป็นสุขกว่านี้ สงบกว่านี้ ...วนเวียนซ้ำซากอยู่อย่างนี้

ศีลไม่มี สมาธิไม่มี ปัญญาไม่เกิดหรอก ... ละเลยศีล ละเลยกาย ประมาทกาย  จะเอาอะไรแต่ดีๆ ภาวนาจะต้องให้ดีขึ้นๆๆๆ อะไรที่มันปรากฏด้วยความซ้ำซากจำเจก็เบื่อ เบื่อแบบไม่พอใจมัน หาอะไรที่ดีกว่า

ความเพียรมันน้อย ความอดทน ความตั้งมั่นอยู่ในปัจจุบันกายปัจจุบันรู้นี่...มันน้อย  เพราะมันติดที่มันจำได้ เพราะมันติดที่มันเคยอ่าน เพราะมันติดที่เคยฟังมา มันติดที่คนเคยเล่าเคยบอก 

แล้วมันละไม่เป็น มันละไม่ได้ มันก็เลยหนีความเป็นจริงในปัจจุบันกายตลอดเวลา ...เดินไปเดินมาก็ใจเลื่อนใจลอย 

การก้าวการเดิน...ทำไมไม่รู้สึก ทำไมไม่เห็น ทำไมไม่รู้ ในการก้าว การเดิน การกระทบ การปรากฏขึ้นของกายแต่ละขณะ แต่ละวรรค แต่ละตอน แต่ละช่วง มันเป็นอย่างไร นี่ ความจริงทั้งนั้น

ถ้าไม่รู้จริงอยู่กับตรงนี้ เดี๋ยวนี้ กายนี้ มันเป็นรู้หลงหมด ...หลงไปในความจำ หลงไปในความคิด หลงไปในความเห็น หลงไปในอดีต หลงไปในอนาคต หลงไปในสภาวะต่างๆ นานา ทั้งที่เกิดแล้ว ทั้งที่ดับแล้ว ทั้งที่ยังไม่เกิด 

นี่ หลงธรรม หลงจนสับสนอลหม่านไปหมด ไม่รู้อันไหนจริง อันไหนเท็จ อันไหนถูก อันไหนผิด ...วันนี้ถูกพรุ่งนี้ผิด วันนี้ผิดพรุ่งนี้ถูก วันนี้ได้พรุ่งนี้เสีย พรุ่งนี้ได้มะรืนเสียใหม่

วิ่งไล่จับเงากันอยู่นั่น จับอะไรกันอยู่ก็ไม่รู้ หาอะไรอยู่ก็ไม่รู้ ภาวนาอะไรยังไม่รู้เลย

มันเข้าใจเรื่องสักกาย(สักกายะ)ไหม มันเข้าใจเรื่องทิฏฐิของสักกายไหม มันเป็นไปเพื่อการละสักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉามั้ย มันเป็นไปเพื่อการละสีลัพพตปรามาสมั้ย  

มันภาวนาไปแบบดั้นด้นค้นเดาไปเรื่อย  มันไม่ได้เป็นการภาวนาเพื่อเป็นไปเพื่อการละวางจางคลายสักกาย วิจิกิจฉา สีลัพพตเลย 

แล้วมันจะภาวนาตามแบบตามเยี่ยงตามอย่างของพุทธะทั้งหลายทั้งปวงได้อย่างไร

จะเอาแต่ดีน่ะ จะเอาแต่จิตดี จิตหลุด จิตพ้น ...พ้นยังไง มันจะพ้นได้ยังไง มันจะหลุดได้ยังไง มันจะดีได้ยังไง  ถ้ายังไม่ละอะไรได้สักอย่างนึง 

มันยังหลุดพ้นจากกายนี้ไม่ได้ ยังหลุดพ้นจาก “กายเรา” ไม่ได้ ยังหลุดพ้นจาก “ตัวเรา” ไม่ได้ ยังหลุดพ้นจากความสงสัยไม่ได้ ยังหลุดพ้นจากวิธีการปฏิบัติต่างๆ นานาไม่ได้  มันจะดีได้ยังไง ...ไม่ได้

กายนี่เป็นประธานของขันธ์ เป็นที่รวมของขันธ์ห้า ที่มันปรากฏอยู่ในปัจจุบันด้วยความชัดเจน อาจหาญ ไม่เคยหายไปไหนเลย ตั้งแต่เกิดจนวันตาย 

แต่เรากลับอยู่กับกายนี้ กายปัจจุบันนี้ ได้น้อยมาก...ในหนึ่งวัน ... เราพูดอยู่ประจำว่าไม่เคยถึงหนึ่งเปอร์เซ็นต์หรือค่อนนึงของหนึ่งเปอร์เซ็นต์เลย

แต่ภาวนานี่พูดซะใหญ่โตมโหฬาร สภาวะนั้น สภาวะนี้ ... มันถูกหลอกกันทั้งนั้นน่ะ ถูกจิตตัวเองน่ะหลอก โดยที่ไม่รู้เลยว่าถูกหลอก 

แล้วก็ยังยินยอมให้มันหลอกอยู่ตลอดเวลา โดยเข้าใจว่า...เดี๋ยวคงได้สักวัน เดี๋ยวคงถึงสักวัน เดี๋ยวคงจะเข้าใจขึ้นมาเองสักวัน ...มันไม่เข้าใจอะไรหรอก มันหลอกตัวเองไปวันๆ มากกว่า

กับการที่มันมาเผชิญอยู่กับความเป็นจริง ด้วยการรู้จริงเห็นจริงในปัจจุบันกาย ... นี่ มันไม่เหมือนกัน 

เพราะนั้นถ้ารู้แล้วก็หยุด รู้แล้วก็หยุดๆ ...หยุดจิต หยุดหา  รู้แล้วก็หยุดค้น รู้แล้วก็หยุดสงสัย รู้แล้วก็หยุดวิพากษ์วิจารณ์ รู้แล้วก็หยุดหาเหตุหาผล รู้แล้วก็หยุดค้นและคว้า 

รู้แล้วก็หยุดอยู่ในที่นี้กายนี้ มันจึงจะรู้แจ้งขึ้น ...จากที่รู้จริงมันก็จะรู้แจ้ง ...เมื่อมันรู้จริงรู้แจ้ง มันก็รู้โดยตลอด รู้โดยทั่ว รู้โดยรวม รู้เห็นโดยรอบโดยรวม 

ความถ่องแท้ ความเข้าใจ ความชัดเจน ก็ปรากฏขึ้น เพราะมันไม่สามารถจะมาปกปิด ปิดบัง ด้วยจิตคิด จิตค้น จิตสงสัย จิตลังเล จิตหา จิตรัก จิตชัง จิตมีกิเลส จิตหลง จิตลืม พวกนี้ไม่สามารถจะมาปิดบังได้เลย

ไอ้ที่ไม่เข้าใจ...มันก็จะเข้าใจขึ้นมาเอง ไอ้ที่ไม่เคยเห็น ไม่เคยรู้ความเป็นจริงนี้...มันก็จะรู้ มันก็จะเห็นความจริงนี้ขึ้นมาเอง ...เป็นปัจจัตตังอยู่แต่ผู้นั้น อยู่ในที่เดียวนี่ อยู่ในกายเดียว รู้เดียวนี่

ให้นั่งรู้ตัว นั่งอยู่กับกาย นั่งรู้สึกในกายได้ไม่ถึงห้านาทีสิบนาที เบื่อแล้ว หนีแล้ว ...หนีไปหาอะไรก็ไม่รู้ ที่ไม่รู้มันมีจริงรึเปล่า 

ก็ยังหากันอยู่อีก ...จิตมันอยากหาน่ะ แล้วมันไม่ทันน่ะ ไม่ทันจิตที่มันปรุง ที่มันหลอกขึ้นมาให้ค้นให้หาอะไรก็ไม่รู้ อะไรที่มันหามันยังไม่รู้เลย

อย่ามาถามเราว่าหาแล้วจะได้อะไร ...มันไม่ได้อะไร มันไม่มีอะไรให้หาด้วย 

สิ่งที่มันต้องหา สิ่งที่มันต้องค้น สิ่งที่มันต้องคว้า...คือปัจจุบัน  ท่านเรียกว่าแยบคาย...โยนิโส  ให้ใคร่ครวญอยู่ในปัจจุบันกาย...เป็นอาตาปี เป็นการจดจ่ออยู่ในกาย 

เพราะนี้คือศีล ปกติกายคือปกติศีล ...ถ้ามันล่วงละเมิดก้าวข้ามศีลไปน่ะคือความเศร้าหมอง คือความขุ่นมัว คือความมืดบอด คือความมืดมน คือความไม่รู้

ผลของการละเมิดศีลน่ะเป็นเช่นนี้ ...มีแต่ความมืด อึมครึม เหมือนปลาสำลักน้ำ  เหมือนเราจมูกปริ่มๆ น้ำ เบลอๆ หายใจก็กลืนไม่เข้าคายไม่ออก มันเป็นอาการคล้ายอย่างนั้นน่ะ ...ไม่มีอะไรชัดเจนขึ้นมาเลย

ความเพียรมันไม่ถึง ความอดทนมันไม่ถึง ...อดทนที่จะรู้อยู่ในที่อันเดียว  อดอยาก...อดจิตที่มันอยาก อดจากจิตที่มันหา อดจากจิตที่มันจะไปในอดีตในอนาคตน่ะ 

มันต้องอด...ด้วยความอดทน แล้วก็รู้เพียงอันเดียวคือกายเดียว ...จนจิตมันรวมเป็นหนึ่งในปัจจุบัน ไม่แตกกระสานซ่านเซ็นส่ายไปส่ายมา ไขว่คว้าหาอะไรก็ไม่รู้

หาอะไรก็ไม่รู้...ชื่อก็บอกแล้วว่า “ไม่รู้”  ...ไม่รู้ก็คืออวิชชา  มันหาอะไรน่ะ ด้วยความ “ไม่รู้”  แล้วสิ่งที่มันหา...ก็ไม่รู้ว่ามันหาอะไร 

มันก็พยายามจะไปหาอะไรมารองรับ มายืนยันในความไม่รู้ที่มันกำลังหาอยู่ เช่นตำรา คำพูดคำกล่าวของคนนั้นคนนี้ มาคอยรองรับ

เพื่ออะไร ...เพื่อสนับสนุนให้เกิดการทะเยอทะยานออกไปไม่จบและสิ้น

นี่ มันไม่เห็น trick มันไม่เห็นเล่ห์เหลี่ยมของกิเลส เล่ห์เหลี่ยมของจิต ...ก็ตกอยู่ใต้อำนาจของจิตปรุงแต่ง ตกอยู่ใต้อำนาจของจิตอวิชชา  หาความจบ ความสิ้น ความหยุด ความพอ ไม่เจอหรอก

เพราะนั้นการภาวนาน่ะ เป็นการภาวนาที่เรียบง่าย สม่ำเสมอ และพอดีในปัจจุบัน ...มันไม่มีอะไรเป็นกระโตกกระตากหรอก มันไม่มีอะไรที่มันใหญ่โตมโหฬารอย่างที่เขาพูด เขาเขียน เขาคุยกันหรอก 

ไอ้เหล่านั้นมันเป็นอาการของจิตเท่านั้น ...การภาวนามันจึงเป็นกระท่อนกระแท่น เหมือนคนวิกลวิการเป็นง่อยเปลี้ยเสียขาอยู่  

แล้วก็หมุนวนอยู่นั้น หมุนวนรอบตัวมันเอง ไม่รู้ไปไหน มันหมุนวนเพื่อจะหาทางไปของมัน ...แต่จริงๆ มันหมุนวนอยู่อย่างนั้น ไม่ได้ไปไหนหรอก วนอยู่ในความสับสน วนอยู่ในความไม่รู้

ก็ต้องทำให้มันรู้...รู้จริงอยู่ ปรากฏอยู่กับความรู้จริง แล้วก็อยู่กับความรู้จริง รู้กับสิ่งที่มีอยู่จริง เป็นจริงในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้นที่มันปรากฏ ไม่ว่าทางใด 

ก็รู้ว่าเห็น ก็รู้ว่าได้ยิน ก็รู้ว่าได้กลิ่น ก็รู้ว่าลิ้มรสอะไร ก็รู้ว่ากาย ยืน เดิน นั่ง นอน อย่างนี้ ...นี่คือรู้จริงในปัจจุบัน ถึงเรียกว่ารู้จริง

มันจึงจะเห็นตามความเป็นจริงว่า จริงนี้คืออะไร  ไอ้ที่ปรากฏ...ที่ว่าจริงๆ ในปัจจุบันคืออะไร 

มันจริงตามที่จิตว่ามั้ย หรือมันไม่จริงตามที่จิตมันว่า มันจริงตามที่เคยเชื่อเคยเข้าใจมั้ย หรือมันไม่จริงตามที่เชื่อตามที่เข้าใจ  นี่ มันก็จะเห็นเอง...เป็นปัจจัตตัง

ไม่ต้องฟังใคร ไม่ต้องถามใคร มันก็จะเห็นด้วยตัวของมันเอง มันก็เกิดความยอมรับในตัวของมันเอง 

มันยอมรับแต่ของจริงเท่านั้นน่ะ อะไรที่นอกเหนือจากนี้ไป มันก็เห็นว่ามันไม่จริง ... แล้วมันจะไปหาอะไรที่มันไม่จริงล่ะ ...มีแต่ทุกข์น่ะ ทุกข์ๆ  มีแต่ทุกข์เกิดกับทุกข์ดับ แค่นั้น ...ทุกข์อุปาทาน


(ต่อแทร็ก 9/13)


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น