วันเสาร์ที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

แทร็ก 9/25 (2)


พระอาจารย์
9/25 (551231B)
31 ธันวาคม 2555
(ช่วง 2)


(หมายเหตุ  :  ต่อจากแทร็ก 9/25  ช่วง 1

พระอาจารย์ –  การละกิเลส นู่น พระอนาคานู่น ถึงจะละกันได้เด็ดขาด  เริ่มเด็ด...แล้วก็ขาด ...ไอ้ของพวกเรานี่เด็ด...แต่ไม่ยอมขาด  คือกูจะเด็ดให้ขาด แต่มันไม่ยอมขาด ...มันคนละหน้าที่กันแล้ว

ไอ้การละให้ขาดนั่นน่ะมันหน้าที่ของพระอริยะขั้นสูง ต่ำกว่าพระอนาคาน่ะ...ไม่มีขาดอ่ะ ...โสดายังไม่ขาดเลย ใครว่าหมดจากความเป็นเรา เดี๋ยวก็มีอีก...ใจเรา ยังมี

มี...มียันพระอรหันต์นั่นน่ะ เหลือจิตดวงสุดท้ายก็ "เรา" ดวงสุดท้ายนั่นแหละตายไปพร้อมกันกับสังขารจิต ...ตราบใดที่มีจิต ตราบใดที่มีรู้ เมื่อนั้นก็มี "เรา" ...ไม่ใช่ละกันได้ง่ายๆ หรอก

แต่ให้แยกออกให้เห็นโดยชัดเจน...ว่าอันไหนเป็นเรา เราจริงคืออะไร ไอ้กายจริงคืออะไร ...ให้มันเห็นก่อน  แค่นี้ก็เก่งตายแล้ว...สำหรับคนนะ

คือตอนเราอยู่ในอารมณ์ทั่วไปนี่ เราจะแยกอะไรไม่ได้เลย เข้าใจรึเปล่า ...มันเป็น “เรา” ตั้งแต่หัวยันตีนเลย   แม้แต่ของรอบตัวที่กูแตะนี่...ก็ของกูหมดเลย 

แล้วมันจะแยกอะไรออก ...มันแยกไม่ออกหรอก ...ขนาดของที่ไม่ได้อยู่ในสายตาหรือเอื้อมมือถึง  มันแค่คิดไปนี่ ก็ยังเป็นของเราแล้ว ...แล้วมันแยกอะไรออกล่ะ

เพราะนั้นถึงบอกว่าแค่แยกออกนี่ล่ะเก่งแล้ว...เห็นความเป็นสักกายอันนึง เห็นกายจริงๆ อันนึง ...แล้วอันไหนจริงกว่ากัน แล้วอันไหนมันเป็นแค่ลวงๆ ล่อๆ ขึ้นมาเฉยๆ แบบไม่เป็นสาระ

แค่นี้ ทำความชัดเจนตรงนี้ในกาย...แยกกายออกจากสักกาย ...นี่ล่ะฝึกการเข้าสู่อารมณ์ของพระโสดาบัน  เพราะนั้นอารมณ์ของพระโสดาบันคืออารมณ์นี้

เราเรียกเป็นอารมณ์นะ เราไม่เรียกเป็นบุคคลนะ ...ให้อยู่ในอารมณ์นี้ อารมณ์ที่รู้กาย แยกกาย...ว่ากายจริงกายเท็จ กายมายา กายปรุงแต่ง...กับกายมหาภูตรูป

แยกให้ออก ด้วยความชัดเจน...ให้มันชัดที่สุด ...จนมันเกิดความเชื่อที่แท้จริง เชื่อความจริงอันเดียวว่ามีกายเดียว นอกนั้นไม่มีจริง  มี...แต่ไม่จริง

เพราะอะไร ...เพราะยังไงพวกเราก็ต้องใช้มัน ไอ้กายสมมุติ ไอ้กายสังขารน่ะ ...หรือว่าทำงานนี่ไม่คุยกับใครเลย ไม่มีการคิดอดีต-อนาคตเลย ไม่มี “เรา” เข้าไปทำข้างหน้าข้างหลังเลย

มันมีอยู่ใช่มั้ย ...ไม่ใช่ว่าขาดเหมือนกลายเป็นท่อนไม้เดินได้ มีคนเรียกชื่อก็...'ใครวะ กูไม่มี ไม่มีเรา' อย่างคนเรียกชื่อไปทำงาน จะมาว่า "ใครวะ" ...มันไม่ได้ มันต้องมี เห็นมั้ย

แต่ว่ามียังไง อยู่กับมันด้วยความเข้าใจมั้ย แล้วจะจริงจังกับไอ้ตัวชื่อนี้จริงจังมั้ย ....ก็จริงแค่พอใช้งานได้ พอแล้ว อย่างนี้เขาเรียกว่าอยู่ด้วยปัญญาแล้ว

แต่ว่าไม่ใช่ขาดจากกายสมมุติ กายบัญญัติ กายเรา กายของเราโดยสิ้นเชิง...ไม่ใช่อย่างนั้น ...ไอ้อย่างนั้นก็นู่น ไปขุดรูอยู่แล้ว ต้องอยู่ในรูแล้ว

แต่ตอนนี้พวกเราแยกไม่ออก บางครั้งออก บางครั้งไม่ออก  นี่เขาเรียกว่ามันกระดักกระเดิด ...แปลว่าจิตมันยังเชื่อไม่เต็ม มีความเชื่อที่ยังไม่เต็ม ที่เป็นสัมมา

เพราะนั้นในลักษณะของอารมณ์ของโสดาบันที่แก่หรือเต็มขั้นนี่...เชื่อแต่กายนี้กายเดียว  กายนี้...มี...ใช้ ...แต่ไม่เชื่อมัน แล้วก็ไม่จริงจังกับมันด้วย 

และเมื่อใดที่ไม่จริงจังกับมันมากขึ้นเท่าไหร่ๆ  การเรียกหาไหว้วานใช้สอยมัน จะเริ่มน้อยลงๆ ไปตามลำดับ ...นี่คือมรรคขั้นสูงแล้ว จะเข้าสู่อารมณ์ของพระอริยะขั้นสูงแล้ว

จะเรียกใช้อยู่ที่เดียว จดจ่ออยู่ที่เดียว ...เพื่อสำรวมจิต เพื่อสำรวมกาย เพื่อสำรวมมรรค เพื่อสำรวมศีลสมาธิปัญญา ให้รวมเป็นหนึ่ง ...ไม่เป็นสอง ไม่แตกกระเด็นออกมาแม้แต่อณูหนึ่ง ธาตุหนึ่ง

นาม..ท่านก็เรียกว่าเป็นนามธาตุนะ รูป..ท่านก็เรียกเป็นรูปธาตุนะ นี่ ไม่มีแม้กระทั่งรูปธาตุนามธาตุกระเด็นออกมาเกินจริง เกินปัจจุบัน ...นี่คือหน้าที่ คืออารมณ์ของพระอริยะเบื้องสูงขึ้นไป

เพราะว่าพอถึงจุดนั้นน่ะ มันข้องแวะกับคนไม่ได้แล้ว ...มันจะออกมาข้องแวะกับผู้คนไม่ได้แล้ว มันจะออกมาข้องแวะกับภายนอกไม่ได้เลย 

แต่มันเป็นแค่ช่วงหนึ่ง ...ช่วงที่มรรคทำงาน เต็มขั้น เต็มที่ ทำงานไม่ได้หรอกตอนนั้น ...เพราะมันจะลบสัญญา ลบอนาคต ลบบัญญัติ ลบสมมุติ ลบความเห็น ลบทุกสิ่ง ... delete ลูกเดียว

เมื่อมัน delete ลูกเดียว ในขณะนั้นมันข้องแวะอะไรไม่ได้หรอก ...ไม่ใช่ตั้งใจจงใจ delete นะ  มัน delete ด้วยสติ  มัน delete ด้วยความเท่าทันจิตทุกดวง ...มันอยู่ด้วยภาวะที่เท่าทันจิตทุกดวงที่เกินหนึ่งไป

แต่ว่ามรรคที่พวกเรากำลังดำเนินอยู่นี่ ยังข้องแวะกับผู้คนอยู่ ...ก็สะสมไป ทำไป  ยังไม่ต้องไปตัด ยังไม่ต้องไปละภายนอกอะไร ...สะสมกำลังไว้

เหมือนชาร์จแบตเยอะๆ เอาให้มันเต็ม ...เมื่อมันเต็มแล้ว ถึงเวลา มันต้องปลีก...ยังไงก็ต้องปลีกกายใจออกจากโลกภายนอก จากโลกหยาบๆ

แต่ให้มันถึง ให้มันเป็นไปของมันเอง ...ตอนนี้ก็ไม่ต้องรีบละรีบเลิกอะไร อยู่ไปตามปกติ ...แต่ว่ารู้ตัวให้มากเท่าที่จะทำได้  นี่คืองาน...งานหลัก หรือว่าสัมมาอาชีโว

แล้วต่อไปงานหลักนี่...อย่างที่เราบอก มันจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ...แล้วมันจะรู้เองว่างานหลักของมันคืออะไร

แต่งานหลักของพวกเราตอนนี้คือ มันขาดศีล ขาดความรู้ตัวในปัจจุบัน ขาดความต่อเนื่องของศีล ขาดความต่อเนื่องในกายปัจจุบัน

ขาดการรู้เห็นกายปัจจุบันด้วยความเป็นกลาง ขาดการรู้เห็นกายด้วยความปราศจากความคิดความปรุง มันขาดตรงนี้มาก ...เอะอะๆ อะไร...คิด เอะอะๆ อะไร...ลืม เอะอะๆ อะไร...ลอย

คือทุกคนน่ะเวลามาหาเรา เราถามเป็นยังไงมั่ง ทุกคนก็จะตอบเหมือนกับเป็นเทปไม่ต้องรีเวิร์ดหรือไม่ต้องรีไวด์ว่า “แย่จัง ไหลทั้งวันเลยค่ะ, ครับ” ...ทุกคนคำตอบเดียวกันหมดเลย

เนี่ย แล้วจะให้บอกให้ทำตรงไหนอ่ะ จะให้ละกิเลสเลยเหรอ...ไม่ได้มั้ง ไม่น่าจะเป็นไปได้นะ ...เราก็ต้องบอกว่า...รู้ตัวให้มาก ต้องทำตรงนี้ที่เดียวแหละ

เพราะแต่ละคนเราบอกว่าเหมือนเทปไม่ต้องกรอน่ะ ...ไม่มีใครบอกว่า "ผมนี่เหลือจิตหนึ่ง ไม่มีอะไรแล้ว แล้วจะให้ผมทำไงต่อ" ...ไม่เคยได้ยินน่ะ  เออ ถ้าไอ้อย่างนี้ก็จะบอกว่าให้เจริญอะไรต่อ เข้าใจมั้ย 

ไอ้นี่มาแต่ละคนก็รีเวิร์ดรีไวด์ "ไม่รู้ตัวเลย หายไปทั้งวันเลยค่ะ" ...เออ แล้วจะมาถามเรื่องปัญญา แล้วจะให้บอกหรือว่าจะเจริญอริยมรรคขั้นสูงยังไง

มันเป็นไปไม่ได้ ...เพราะมันไม่ใช่งานตอนนี้ เข้าใจมั้ย ไม่ใช่งานของปุถุชน ...คือนั่นเป็นงานของพระอนาคามี นี่ ก็ว่าจะตอบให้  หรือว่าเป็นงานของอรหัตตมรรคก็จะตอบให้  พอตอบได้ก็จะตอบ

แต่นี่มันงานของปุถุ...รู้ได้ไม่เกินห้าวิ...กูก็หายแล้วแหละ และก็ไม่ขวนขวายใส่ใจที่จะกลับมารู้อีกน่ะ ...แล้วกูจะแก้ยังไงดีวะเนี่ย เข้าใจมั้ย ใครจะช่วยได้ล่ะ

เนี่ย เราก็จะตอบซ้ำตอบซาก มาหาเรากี่ทีๆ โยมไม่เปลี่ยน เราก็ไม่เปลี่ยนคำสอนเหมือนกัน ใช่มั้ย

ก็มันทำได้แค่นี้ ก็ต้องสอนอยู่แค่นี้แหละ ...เออ รู้เข้าไปเถ๊อะ อย่าเบื่อ อย่าเบือนหน้าหนี อย่าทิ้งกาย อย่าห่างจากกาย อย่ามัวแต่เพลินไปกับงานภายนอก

มันก็ต้องวนเวียนอยู่เท่านี้แหละ ไม่ว่าใคร ไม่ว่าแก่ ไม่ว่าหนุ่ม ไม่ว่าหญิง ไม่ว่าสาว ไม่ว่าพระ ไม่ว่าชี ไม่ว่าโยม ...มันก็ลงข้อสอบนี้...ตก มันสอบตกตั้งแต่ข้อศีลแล้ว

แล้วจะให้สอนมรรคเหรอ จะให้สอนมรรคขั้นกลางเหรอ จะให้สอนมรรคขั้นละเอียดเหรอ ขั้นอนันตมหาสุญญตาเลยหรือไง ...มันไม่ได้อ่ะ

แต่พูดพอให้น้ำลายไหลล่ะได้ แต่ไม่ได้พูดเพื่อให้เอาไปทำนะ เพราะมันไม่ใช่งานของพวกเราเลย ...งานของพวกเราคือ...สติน่ะเติมเข้าไปให้มันเต็ม...เต็มกำลัง

อย่าเอาเวลาไปนั่งคิดนั่งฝัน เพลิน เพ้อเจ้อไปว่า "เมื่อไหร่น้อ ยังไงดีน้อ มันจะเร็วกว่านี้ ทำยังไงมันจะรู้ตัวได้ทั้งวัน" อย่างเนี้ย

มัวแต่คิดอยู่นั่น ...ก็ทำไมมันไม่รู้ขึ้นมาล่ะ ทำไมไม่รู้มันซะตอนนั้นเลยว่ากำลังนั่งคิด หรือกำลังยืนคิด หรือกำลังนั่งคิด มัวแต่ "เมื่อไหร่กูจะรู้ตัวซะทีว้า"

นี่เห็นมั้ย มันหลงไปในความคิดโดยไม่รู้ตัวแล้ว ...ก็รู้มันเลย มันจึงจะแก้กันได้ทัน ...จะไปรอแก้ตอนไหน จะไปทำความรู้ตัวตอนไหน

มันว่า "เมื่อไหร่จะรู้ตัวน้อ เมื่อไหร่จะรู้ตัวได้ทั้งวันน้อ" ...ก็รู้ลงไปตรงนั้นว่ากูกำลังนั่งคิด หรือเดินคิด หรือว่านอนคิด หรือว่ากินไปด้วยคิดไปด้วย ใช่มั้ย

ต้องแก้ตรงปัจจุบันนะ จะไปรอตอนที่อื่น ที่สถานที่ไหน เวลาไหน ไม่ได้แล้ว ...ธรรมต้องรวมลงให้เป็นปัจจุบัน โดยมีกายนี่แหละเป็นศูนย์รวมปัจจุบัน

พอบอกว่าปัจจุบัน หาอีก..."อะไรเป็นปัจจุบันล่ะ" ...แน่ะ เริ่มหาแล้ว จิตมันลูกอีช่างหา  

พอมันเกิดลูกอีช่างหา แล้วมันก็จะเกิดต่อไปเป็นลูกอีช่างคิด  พอลูกอีช่างคิดเกิดมาก็ลูกอีช่างฝัน ...แล้วจากนั้นไปก็เป็นลูกไม่มีพ่อไม่มีแม่แล้ว...ไปเรื่อยเปื่อย

ไม่เป็นลูกพุทธะ นี่ ถ้าเป็นลูกพุทธะคือ รู้อยู่ อยู่กับรู้ รู้...ว่านั่ง ว่านอน ว่ายืน ว่ามีปัจจุบันยังไงของกาย ว่าความรู้สึกปัจจุบัน ความรู้สึกเป็นปกติในปัจจุบันกายคืออย่างไร

ถ้ามีรู้คอยกำกับ คอยสังเกต คอยเท่าทัน จึงเรียกว่าเป็นลูกพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ลูกไม่มีพ่อไม่มีแม่ ...จึงเรียกว่าเป็นพุทธบุตร พุทธสาวก พุทธสาวิกา

แล้วก็ต้องเป็นลูกติดพ่อติดแม่ไว้ อย่าทิ้งพ่อ อย่าเพิ่งปีกกล้าขาแข็ง ...อาศัยพุทธะนี่เป็นที่พึ่ง อาศัยผู้รู้นี่เป็นที่อยู่ อาศัยผู้รู้นี่แหละเป็นหลัก

เพราะนั้นผู้รู้มันจะไม่มีเลยหรือว่ารู้จะไม่มีได้เลย ถ้าไม่มีหลัก...กาย  ถ้าไม่มีการระลึกอยู่กับกาย ถ้าไม่มีปัจจุบัน มันก็ไม่มีรู้ มันก็ไม่มีพุทธะ มันก็ไม่มีอะไรปรากฏขึ้นมาแสดงถึงความเป็นพุทธะพุทโธขึ้นมา

อาการของผู้รู้ผู้ตื่นก็จะไม่เกิดขึ้นได้ ...มันก็จะหลับ ไหล หลับใหล หลับหลง ไหล หลง...กลายเป็นลูกกำพร้า ลูกของอวิชชา ตัณหา อุปาทาน ลูกของความไม่รู้


(ต่อแทร็ก 9/26)



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น