วันพุธที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

แทร็ก 9/26 (2)


พระอาจารย์
9/26 (551231C)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
31 ธันวาคม 2555
(ช่วง 2)


(หมายเหตุ  :  ต่อจากแทร็ก 9/26  ช่วง 1

พระอาจารย์ –  นั่นแหละปัญญา เข้าไปแยก ...แยก จำแนกธรรม วิจยะธรรมออก วิจยะขันธ์ออก วิจยะกิเลสออก วิจยะความไม่รู้...ออกจากสิ่งที่มาจากความรู้จริง จนมันแตกกระจัดกระจายออกไปหมด 

มันก็มารวม มาคลุม มาปิด มาบัง มาครอบงำไม่ได้ ...ก็เหลือแต่กายเดียวกับใจเดียวอยู่คู่กัน...สองสิ่ง สิ่งที่ถูกรู้กับสิ่งที่รู้...แค่นี้ มีแค่นี้...เป็นหลักเลย ...นอกนั้นก็ยังมี...อย่างมากก็แค่วูบๆ วาบๆ ผ่านไปมา 

แต่ไม่มีการเข้าไปจริงจัง ...คือไอ้อาการที่เข้าไปจริงจังกับมันนั่นแหละ ท่านเรียกว่าอุปาทาน หรือว่าความยึดมั่นถือมั่นในอุปาทาน...จะไม่มี จะไม่เข้าไปถือจริงถือจัง

เพราะฉะนั้น ถ้าดำรงเดินมาในตามลักษณะของมรรค ประกอบอยู่ในเหตุแห่งมรรคเช่นนี้ ผลจะได้อย่างนี้ ไม่ผิดเป็นอื่น จะไม่มีผลอย่างอื่นเลย เช่น เห็นผี เห็นเทวดา เห็นชาติอดีต เห็นจิตคนนั้นคนนี้...จะไม่มี

จะเห็นแต่อย่างนี้ ผลของมรรคโดยตรง มรรคนี่...ผลคือเห็นกายอย่างนี้ เห็นสักกายอย่างนี้ ...คือมันไม่มีผลแปรเป็นอื่นเลย  ยืนยัน...มาตั้งแต่พระพุทธเจ้าครั้งพุทธกาล 

และพระอริยสงฆ์ที่เป็นธรรมทายาทสืบเนื่องต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน ก็ต้องเห็นอย่างนี้ ...เพราะ...นี้คือทางสายเอก นี้คือทางสายเดียว ที่จะเป็นไปสู่ความหลุดและพ้น โดยไม่หวนคืน

เพราะนั้นเหล่าพระอริยะท่านไม่หวนคืนเพราะท่านเดินอยู่ในทางนี้...ทุกองค์ ทุกท่านไป ...จึงเกิดผลเห็นผล ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่มีเห็นไม่เหมือนกันแต่ประการใด 

ต้องเห็นอย่างนี้...เหมือนกันหมดเลย  ต้องเรียกว่าฟันธงเลย...ว่าธรรมนี้เป็นของจริงอย่างนี้...เป็นโดยสัจจะ ไม่มีอะไรมาลบล้างได้ ไม่มีอะไรมาเปลี่ยนแปลงความเป็นสัจจะเหล่านี้ได้

ไม่มีการเปลี่ยนแปลงสัจจะของศีลสมาธิปัญญาได้ ว่าผู้ใดที่ประกอบกระทำตรงต่อสัมมาศีล สัมมาสมาธิ สัมมาญาณะแล้วนี่ ...ผลจะต้องเป็นสัจจะเช่นนี้ๆ คือนิโรธเป็นที่สุด

เบี้ยบ้ายรายทางนั้นก็เรียกว่าปัญญาญาณ คือเห็นตามความเป็นจริง ...แต่ผลคือ ทิ้ง..วาง  ทิ้ง..วาง เห็น...ทิ้ง..วางๆ  รู้...ทิ้ง รู้...วาง  มีแต่วางๆๆ วาง ว่าง...วาง ว่าง อยู่อย่างนั้น

ยิ่งเห็นยิ่งไม่จับต้อง...ดูเอา  ยิ่งรู้ยิ่งเห็น...ยิ่งเบา...ดูเอา ... หรือยิ่งรู้ยิ่งเห็น...ยิ่งจับยิ่งต้อง ยิ่งรู้ยิ่งเห็น...ยิ่งหนักยิ่งหน่วง ยิ่งรู้ยิ่งเห็น...ยิ่งมียิ่งมียิ่งเป็น...ดูเอา

อันนั้นน่ะไม่ใช่มรรค มันเป็นแม็ก ไม่ใช่มรรค ...ยิงเป็นแม็กเลย หาอยู่นั่นน่ะจิต ให้มันได้ ให้มันเป็นอะไรสักอย่าง  แล้วก็รั้งไว้ เหนี่ยวไว้ ประคองไว้ ถือไว้

ให้รู้ไว้เลย...ถ้าเกิดลักษณะอาการนี้ ให้เตือนตัวเองไว้เลยว่า รีบทิ้งซะ รีบทิ้งลักษณะอาการอย่างนี้ซะ ...อย่าไปเอามันมาเป็นมรรคเป็นผลเลย นะ 

อย่าเข้าใจว่ายิ่งได้ยิ่งเยอะ...ยิ่งดีนะ ...ในทางกลับกัน ยิ่งไม่มีอะไร  ยิ่งทิ้ง ยิ่งปล่อย...ได้เร็ว ...อันนั้นน่ะ ใช่เลย นั่นน่ะอยู่ในวิถีแห่งมรรคแล้ว

เพราะยิ่งทำยิ่งปฏิบัติ...ยิ่งไม่มีอะไร ยิ่งอยู่ในมรรคอยู่ในศีลสมาธิปัญญา ...ยิ่งไม่ได้อะไร ...ยิ่งอยู่ในศีล ยิ่งอยู่ในสมาธิที่เป็นสัมมามากขึ้นเท่าไหร่...ยิ่งหา “เรา” ไม่เจอ

นั่น ใช่เลย ตรงตามธรรม ตรงตามพระสัทธรรม ตรงตามสัจธรรม ตรงตามมรรค ...แล้วก็จะตรงต่ออริยมรรคต่อไปเรื่อยๆ

เพราะนั้นทำสัมมากัมมันโต สัมมาอาชีโว สัมมาสังกัปโป อยู่ในงานที่ควรแก่งาน ...ทำสติในปัจจุบันให้มาก ทำสติและเอาสติมาระลึกรู้ แล้วก็ตั้งอยู่กับกายปัจจุบันให้ต่อเนื่อง ...แค่นั้นน่ะคืองานหลัก

พอจิตมันไพล่คิด ไพล่หา ไพล่สร้างวิธีการต่างๆ ...วางไว้ วางไว้ก่อน อย่าเปลี่ยนงาน อย่าไปเชื่อว่ามีอะไรดีกว่านี้ ให้เชื่ออันนี้อันเดียวไว้ก่อน ให้เชื่อความรู้ที่เกิดจากสุตตะและจินตาตัวนี้ไว้ก่อน

แล้วทดลองก่อน ...ถือว่าเอากาย วาจา ใจของตัวเจ้าของนั่นแหละ ลงไปพิสูจน์ทราบให้ได้ก่อน ...อย่าเพิ่งเปลี่ยนมือ อย่าเพิ่งเปลี่ยนงาน ...ผลมันจะเกิดขึ้นเป็นลำดับลำดาไป 

แม้จะรู้แบบกะปริบกะปรอยแต่ไม่ออกนอกหลักนี้ ...นี่ ผลก็เกิดแล้ว...ใจเย็นขึ้น เรื่องค้างเรื่องคาน้อยลง จิตไม่ค่อยไปหาเรื่องอะไรมาเป็นภาระ ...นี่คือผลง่ายๆ เลย 

มันจะมีความรู้สึกอย่างนี้ แล้วก็มีความรู้สึกว่าทุกข์น้อยลง...คล้ายๆ จะอย่างนั้น  ไม่ค่อยเป็นทุกข์กับอะไรมากเหมือนเดิม ...เนี่ย ให้รู้สึกไว้เลย...ผลเกิดแล้ว เพราะเดินในมรรค ตามมรรค 

เอาตัวทุกข์นี่แหละเป็นตัววัด ความรู้สึกว่าเราเป็นทุกข์นี่คือตัววัด ...ถ้าอะไรทำแล้วรู้สึกว่าเราเป็นทุกข์มากขึ้น ให้รู้ไว้เลยว่าไม่ใช่...แม้จะได้ผลที่ดูเหมือนดี รู้สึกว่าดี อะไรก็ตาม

แต่ถ้ารู้สึกว่าผลนั้นๆ พาให้เกิดทุกข์ต่อเนื่องมา ...ให้รู้ไว้เลย ไม่น่าจะเอาไว้แล้ว น่าจะเริ่มเฉไฉออกจากมรรค หรือว่าอาจจะไปติดขอบของมรรค คือขอบที่ว่าเป็นด้านสุดโต่งทั้งยินดีและยินร้าย

ก็ต้องทบทวนกายใจปัจจุบัน ...เมื่อเกิดอาการรวนเร หรือว่าลังเล หรือว่าคลาดเคลื่อน รู้สึกไม่ชัดเจนไม่แน่ใจ ...ทบทวนลงมาที่ศีลนี่ ทบทวนลงที่กายปัจจุบัน สติปัจจุบัน ...นับหนึ่ง เริ่มต้นใหม่ 

ทำความชัดเจนในกายใหม่ ยืนอยู่ในหลักนี่แหละ รับรอง ไม่ผิดพลาด จะไม่เกิดการผิดพลาด เนิ่นช้า ...ถือว่าเร็วที่สุดทำได้แค่นี้  แล้วไม่มีอะไรเร็วกว่านี้แล้ว ไม่มีอะไรลัดกว่านี้แล้ว ไม่มีอะไรตรงกว่านี้แล้ว 

แต่จิตก็ยังคิดว่ามันน่าจะมีอะไรที่ตรงกว่านี้อีก มันน่าจะมีอะไรเร็วกว่านี้อีก ...อย่าไปเชื่อมัน จิตมันจะพาหลอก พาทุกข์ พาให้ไปค้นคิด พาให้ไปหาต่อ พาให้ไปสู่ความไม่จบไม่สิ้น 

ก็ต้องฉลาดเท่าทันมัน แล้วก็ละให้ได้ ละให้เป็น วางไว้ก่อน  ก็มุ่งหน้ามุ่งตาทำงานไป ...งานภายนอกก็ทำไปตามปกติ งานภายในก็ทำคู่กันไป...มีสองงาน 

มันก็เป็นภาระขึ้นมาหน่อย เพราะแต่ก่อนมันมีงานภายนอกอย่างเดียว มันก็เลยไม่เป็นภาระ  แต่พอเริ่มงานภายในขึ้นมา คือทำไปด้วยรู้ตัวไปด้วย เนี่ย มันเริ่มรู้สึกว่าเป็นภาระ

แต่ว่างานภายในเหล่านี้ที่ทำไว้นี่ มีผลที่มีคุณค่า ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า เป็นทางอันประเสริฐ จะเกิดผลอันประเสริฐ ผลอันยิ่ง ...แล้วมีวันจบ

ไอ้งานภายนอก...ที่แต่ก่อนพวกเราว่ามันสบายใจที่จะทำงานโดยที่ไม่ต้องมาคอยสังเกตดูว่ารู้ตัวรึเปล่านี่  ...ไอ้งานเหล่านั้นน่ะ มันไม่มีวันจบ

ตาย-เกิด...เกิดใหม่ ทำใหม่ มุ่งมั่นกับงานนั้นใหม่ ...อาจจะเปลี่ยนงานไป แต่ความมุ่งมั่นในงานอย่างนั้นก็ไม่มีคำว่าจบ มันต่อเนื่องไปเป็นลูกระนาด

แต่งานภายในที่ว่าทำความรู้ตัวยืนเดินนั่งนอน...ระหว่างที่ทำงานภายนอกอะไรอยู่นี่ ...ถ้าตั้งอกตั้งใจทำความต่อเนื่องไป งานนี้มีที่จบ งานนี้มีวันหยุดวันสิ้น

แล้วพระพุทธเจ้าท่านบอกว่าถ้าทำงานอย่างนี้นะ อย่างที่พระพุทธเจ้าท่านว่าไว้...๗ วัน ๗ เดือน ๗ ปี ...เห็นมั้ยว่าไม่ได้ยาวไกลเลย

แต่ถ้าเทียบกับงานภายนอกนี่ เกิดอีก เกิด-ตายๆๆๆ ล้านครั้ง...ก็มีงานให้ทำล้านครั้ง ...แล้วก็ในแต่ละครั้งของการเกิด ยังมีหลายงานที่จะต้องทำ

งานเลี้ยงลูก งานเลี้ยงเพื่อน งานเลี้ยงผัว งานเลี้ยงเมีย งานเลี้ยงหมา งานเลี้ยงรถราบ้านช่อง ...เห็นมั้ย มันมีงานเยอะแยะ สะเปะสะปะไปหมด

เพราะนั้นเมื่อมันเห็นแบบหยาบด้วยจินตาแล้ว ...ก็บอกว่า เอ๊อะ วางมือตรงนั้นนิด วางมือกับการมุ่งมั่นในงานภายนอกซะก่อน ...มาเร่งมือกับงานภายในตรงนี้ซะหน่อย 

ให้มันมากขึ้นหน่อย ...แล้วก็ให้มันมากกว่าหน่อย แล้วก็ให้มันมากจนถึงที่สุด ...เพราะอะไร ...เพราะไอ้งานภายนอกนี่ไม่ต้องกลัวหรอก...เดี๋ยวตายแล้วก็เกิดมาทำใหม่ได้ 

งานภายนอกนี่ไม่ต้องกลัวเลย ไม่ต้องกลัวจะไม่ได้ทำ  เดี๋ยวตายเกิด ก็ได้มาทำเหมือนเดิม ไม่ต้องกลัว ...ถ้ายังมาเกิดนะ ยังงั้ยยังไงก็ได้ทำต่อ ใช่มั้ย ไม่ต้องกลัวเลย

แต่งานภายในตรงนี้ มันกลัวว่าถ้าทำให้ต่อเนื่อง มันจะลืม มันจะเสียเวลา ...ก็เลยไปมัวเสียเวลากับการมุ่งมั่นในงานที่ไม่มีวันจบวันสิ้น ...แต่ทุกครั้งที่มันทำ มันก็คิดว่ามีวันจบอยู่ ใช่มั้ย

ก็ไม่เห็นมันจบซะที ...มีอะไรใหม่ๆ มาให้ทำต่อเรื่อยๆ ใช่มั้ย ...หมดเคสนั้นก็มีเคสนี้ หมดเรื่องนั้นก็มีเรื่องนี้ หมดปัญหาอย่างนั้นก็มีปัญหาอย่างนี้

ถึงแก้ปัญหานั้นได้ ความสุขสบายในการแก้ปัญหาได้ก็หมดไป แล้วเดี๋ยวก็มีปัญหาใหม่ขึ้นมา ...เห็นมั้ย มันต้องมีงานให้ทำตลอด อีรุงตุงนัง

แต่ถ้างานตรงนี้...มันดูเหมือนยาก เพราะมันไม่เคยทำ ไม่คุ้นเคย ไม่ชำนาญ ...แต่พอทำไปแล้วนี่ มันง่าย เพราะเป็นงานที่มีกรอบชัดเจน

แล้วมันไม่ได้ทำแบบต้องลงทุนลงแรง เสียเหงื่อ เสียเลือด เสียเนื้อ เสียน้ำตา เสียกำลัง ใช่มั้ย ...ก็แค่รู้ ก็แค่เห็น ไม่เห็นมันจะหนักหนาสาหัสอะไร

แล้วก็อยู่ในกรอบแค่นี้...กว้างคืบ ยาววา หนาศอก ...มันก็ไม่ได้กว้างใหญ่โตเท่าดอยเชียงดาว ที่จะต้องไปค้นหาหรือว่าเดินเซาะทุกอณูถึงจะรู้โดยตลอดรู้โดยรอบเขา

นี่ ก็มีแค่ก้อนนี้ กว้างคืบ ยาววา หนาศอก มันไม่ได้ว่าใหญ่โตมโหฬารอะไร ...เห็นมั้ยว่างานที่ทำมันก็ไม่ได้ยากจนเกินกำลัง

แต่มันต้องทวนอนุสัยสัญญาเดิมเท่านั้นเอง ...คือความคุ้นเคยเดิมๆ ความเชื่อแบบเดิมๆ ที่มันจะพาโลดแล่นไปมาภายนอก

นั่นแหละ เป็นข้อสอบเบื้องต้น ข้อที่มันทำให้เกิดความขี้เกียจขี้คร้าน แล้วก็ไม่ขวนขวายภายใน ไม่ขวนขวายกับงานภายใน

เพราะมันรู้สึกว่าเวลาทำงานภายนอกแล้วไม่ได้ทำงานภายในไปด้วย ทำแบบเต็มตัว ไม่พาร์ทไทม์นะ มันรู้สึกสบายดี รู้สึกว่าคล่องแคล่วดี รู้สึกว่าปลอดโปร่ง รู้สึกว่าไม่ต้องกังวล เหมือนเป็นอิสระ 

มันจะคุ้นเคยกับลักษณะอย่างนี้ คือทำอะไรก็ได้ที่มันไม่รู้ตัว มันถือว่าอิสระ ...แต่พอรู้ตัวปุ๊บ มันจะรู้สึกว่าตึงๆ แข็งๆ หรือว่ามีอะไรหน่วงๆ เหนี่ยวๆ รั้งๆ ไว้อยู่ 

มันเลยดูเหมือนเป็นงานต้องทำสองงานพร้อมกัน เลยดูเหมือนกับเป็นเรื่องลำบากขึ้นมาหน่อย

แต่การให้คุณค่าของการงานภายในนี้ ว่า เออ ถึงจะลำบากขึ้นมาหน่อย...แต่ว่าคุณค่าหรือว่าผลที่ได้นั้นน่ะมีค่ามากกว่างานภายนอกล้านๆ เท่า

แล้วคุณค่าที่สุดก็คือการไม่กลับมาหางานทำต่อไป ทั้งภายในและภายนอก มันก็จบงาน...อันนี้จบจริงๆ

แต่ไอ้งานภายนอกนี่ไม่มีวันจบ ...เกิดมายังไงๆ มันก็ต้องทำงานเลี้ยงตัวเอง เลี้ยงคนอื่น ...อยู่ดีๆ อยู่เองโดยไม่ทำอะไรเลยไม่ได้ ...การมีชีวิต การเป็นมนุษย์นี่ มันต้องมีงานภายนอกอยู่ตลอดเวลา 

แม้กระทั่งขันธ์ของตัวเองก็ต้องล้างก็ต้องเช็ด...กายนี่ เห็นมั้ย ไม่ทำงานไม่ได้ มันหยุดไม่ได้เลย ...มันไม่มีที่จบด้วย เกิดมาทุกครั้งก็จะต้องทำงานซ้ำๆ ซากๆ เหมือนเดิมเช่นนี้ 

เดี๋ยวก็หิว เดี๋ยวก็ต้องพามันไปกิน เดี๋ยวก็ต้องกินแล้วก็ต้องพามันไปถ่าย พามันไปถ่ายแล้วก็ต้องอาบน้ำ ...เห็นมั้ย แค่จำเพาะงานในขันธ์ภายในกายนี้มันก็ต้องดูแล ต้องทำ ต้องทะนุถนอม ต้องประคับประคอง

แล้วถ้ามาเกิดทุกครั้ง...ก็ต้องทำงานอย่างนี้ทุกครั้ง  แล้วยังต้องไปแสวงหาอะไรมาเพื่อเลี้ยงมัน ...ก็ต้องทำงานภายนอก ต้องติดต่อกับสัตว์บุคคล ต้องมีการข้องแวะ

ต้องข้องแวะ ต้องรับอารมณ์ ต้องรู้อารมณ์ ต้องสัมผัสกับอารมณ์ ต้องมีกิเลส ต้องสัมผัสกับกิเลสคน ...เป็นงานที่...ถ้ากิเลสขึ้นมานี่มันไม่มีคำว่าจบหรอก

เพราะความเห็นความเชื่อของมนุษย์นี่ มันเปลี่ยนได้ทุกขณะจิต  เพราะนั้นมันก็จะมีปัญหาได้ทุกขณะจิต...เหมือนกันกับเรา และเราก็พร้อมที่จะมีปัญหาทุกขณะจิตกับเขา ...เพราะนั้นมันจะไม่มีคำว่าจบ

เพราะฉะนั้น ก็หางาน ทำงานที่มันมีวันจบ ... ความรู้...รู้เดียวนั่นแหละเป็นความรู้ที่จะเข้าสู่ความจบและสิ้น เป็นความหมดจดงดงามภายในใจ

(ถามโยม) เนี่ย คราวนี้ฟังเข้าใจมั้ย


โยม –  เข้าใจตอนแรกๆ ครับ

พระอาจารย์ – (หัวเราะ) บอกแล้วว่าเข้าใจอย่างไร ทำตรงนั้น แค่นั้นแหละ ทำตามที่เราเข้าใจ จะไม่ลัดขั้นตอน


...................................




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น