วันจันทร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

แทร็ก 9/27 (1)



พระอาจารย์
9/27 (560101A)
1 มกราคม 2556
(ช่วง 1)


(หมายเหตุ  :  แทร็กนี้แบ่งการโพสต์เป็น  2  ช่วงบทความ)

พระอาจารย์ –  การฟังธรรมน่ะดีทั้งนั้นน่ะ คือฟังให้ดี แล้วก็เอาไปใช้ให้ได้

หมายความว่า การปฏิบัติธรรมนี่มันไม่ใช่เป็นเรื่องของกาลเวลา ไม่ได้หมายความว่า ต้องมีเวลาก่อนค่อยปฏิบัติ ...ให้มันเข้าใจว่า การปฏิบัติจริงๆ มันต้องทุกเรื่องน่ะเป็นการภาวนาทั้งนั้น

เพราะนั้นการภาวนา หลักการภาวนาคือมันต้องสังเกต หัดสังเกต ...ไม่ต้องไปสังเกตที่อื่น สังเกตตัวเอง กลับมาสังเกตตัวเอง สังเกตดูตัวเองมากๆ อยู่กับตัวเอง...ให้เข้าใจ 

คือส่วนมากมันจะไม่อยู่กับตัวเอง มันจะไปอยู่ที่อื่นแล้วก็ลืมตัว มันอยู่ด้วยความลืมเนื้อลืมตัว ...เนี่ย มันก็ทำอะไรไปเรื่อย คิดอะไรไปเรื่อย เรื่อยเปื่อย

มันก็เรื่อยเปื่อย ตามกระแสอารมณ์ ตามอารมณ์ ตามความพอใจ ตามความไม่พอใจ อะไรอย่างนี้ ...มันทำไปตามกระแส เขาเรียกว่ากระแสของโลก

แล้วแต่อะไรจะมากระทบสัมผัส..ก็ทำตามอันนั้น มีความรู้สึกยังไง..ก็ทำตามอย่างนั้นไป โดยที่ไม่รู้เนื้อรู้ตัว ...ลักษณะอย่างนี้ที่ท่านเรียกว่าหลง มันหลง

เพราะนั้นน่ะ เมื่อทำอะไรก็ตามที่มันทำไปตามความหลงนี่ ผลสุดท้ายมันกลับคืนมา...คือความเป็นทุกข์ ...จะทุกข์มาก จะทุกข์น้อย หรือรู้สึกว่าไม่เป็นทุกข์ แต่เดี๋ยวมันก็ต้องเป็นทุกข์จนได้แหละ

ยังไงๆ ก็ต้องเป็นไป...ผลของการทำไปด้วยความไม่รู้ตัวหรือว่าความหลงนี่ ยังไงก็ทุกข์ ...แล้วก็ทุกข์สะสมไป วันนี้ไม่ทุกข์ พรุ่งนี้ก็ทุกข์ มันสะสมไป

แล้วเวลามันสะสมจนถึงเต็มพิกัดของมันนี่ คราวนี้ล่ะก็น้ำหูน้ำตาไหลแล้ว ...หมายความว่า ไม่รู้จะแก้ยังไง มันทับถม มันรู้สึกหนักไปหมด เรื่องมันพัวพัน หมุนซ้ายหมุนขวาก็แก้ไม่หลุด ดิ้นไม่หลุด

มันคล้ายๆ อย่างนั้นน่ะ มันเป็นทุกข์ขนาดนั้น ...พอถึงวาระนั้นก็แก้ไม่ออกแล้ว ก็ได้แต่บ่นๆ โทษนั่นโทษนี่ ตินั่นตินี่ไปมา  มันก็ทุกข์จนไม่รู้จะออกจากมันยังไงแล้ว

แต่ถ้าภาวนาน่ะ ...มันก็จะช่วยให้เกิดความรู้ความเข้าใจอาการทั้งหลายทั้งปวง ว่าอะไรเป็นอะไร อะไรเป็นเหตุ มันเกิดอย่างนี้เพราะอะไร จะแก้ยังไงถึงจะแก้ตรงจุด ...ไม่ใช่แก้ปลายเหตุ

ส่วนมากพวกเรานี่มันแก้ปลายเหตุ แก้เมื่อมีปัญหา แก้เมื่อมีอารมณ์ แล้วก็ไปแก้กับปัญหา แล้วก็แก้กับเรื่องราวต่างๆ นานา ด้วยความคิด ด้วยเหตุผล ด้วยความเห็น เข้าไปแก้

ถ้าแก้อย่างนี้...แก้ได้บ้าง แก้ไม่ได้บ้าง  สุดท้ายมันก็..แก้ไปแก้มา มันนึกว่าแก้ได้ แต่ว่ามันแก้ไม่จบ ...มันจะไม่จบ เพราะว่ามันไม่ได้แก้ตรงจุด

แล้วก็ดีไม่ดีระหว่างที่แก้ไป...ก็ไปสร้างเรื่องใหม่ขึ้นมาอีก กลายเป็นลูกโซ่ไปเลย  แก้คนนี้ได้ คนนั้นมาใหม่..อีกเรื่อง  พอไปกระทบกับคนโน้น..มีเรื่องอีก 

แก้เรื่องนี้มันก็มีเรื่องใหม่มากระทบ มันพัวพัน มันเนื่องกันอยู่ มันก็เลยกลายเป็นลูกโซ่ไป พัวพันกันไปมา ...ก็อยู่ด้วยความอึดอัด แล้วก็เหมือนปัดสวะให้พ้นหน้าตัวไป

คือไปทำอะไรมาทดแทน หาความสุขอื่นมาทดแทนไป คุยบ้าง เล่นบ้าง ไปเที่ยว ไปกิน ไปอะไรที่มันลืม เหมือนให้ลืมความทุกข์ความโศกช่วงนั้นเวลานั้นไป

นั่น มันก็แก้กันอย่างนั้นน่ะ แก้ภาษาโลกๆ ...บางเรื่องก็แก้ได้ บ้างครั้งก็แก้ไม่ได้  แล้วมันก็เก็บสะสม สุมเป็นไฟอยู่ภายใน ระอุ...รอวันปะทุนะ มันรอ

แล้วสุดท้ายท้ายสุด...เจอปัญหาสุดท้ายนี่ มันแก้ไม่ได้เลย ...ปัญหาที่ทุกคนจะต้องเจอปัญหานี้ที่มันแก้ไม่ได้...คือตาย ...ยังไงก็ตาย แก้ตายไม่ได้

แล้วเวลาตาย...มันไม่สบายหรอกตายน่ะ มันไม่ใช่นอนหลับฝันหวานยิ้มแป้นแล้วก็ตายหรอกนะ ...ตายนี่ทุกขเวทนาแสนสาหัส แล้วก็ไม่ใช่ตายแบบฉับพลัน

คือบางครั้งก็ตายฉับพลันอุบัติเหตุ บางครั้งก็ไม่ฉับพลัน ซึ่งไอ้ไม่ฉับพลันนี่ดิ นอนเป็นผักเป็นปลาอยู่บนเตียงนี่ เป็นเดือนเป็นปี พลิกก็ไม่ได้ ทำอะไรก็ไม่ได้ ขี้เยี่ยวเองก็ไม่ได้

ลุกนั่งนอนก็ไม่ได้ กินก็ไม่ลงอาหารก็ไม่ย่อย อะไรอย่างนี้ มันอึดอัด มันคับมันแน่น ทรมาน ...จะตายก็ตายไม่ได้ มันไม่ยอมตายให้ อยากตายก็ตายไม่ได้ อยากหายก็ไม่ยอมหาย อยู่อย่างนั้น

ถึงวาระตรงนั้นน่ะ จะแก้ยังไงดี จะหนีไปทางไหน จะไปหาอารมณ์อะไรมาทดแทนมันได้ ...แล้วเอาปัญญาที่ไหนล่ะ ที่จะมาก้าวข้ามสิ่งเหล่านี้ไป...ด้วยความลุล่วง

เพราะนั้นการภาวนานี่ ปัญญานี่ การภาวนาเพื่อมาเรียนรู้ เพื่อให้เกิดความเข้าใจ แล้วก็จะได้ยอมรับ ...เมื่อมันเข้าใจแล้วนี่ มันจะยอมรับได้กับทุกเรื่องราว

เรียกว่ายอมรับได้โดยไม่มีเงื่อนไข โดยไม่มีการตั้งแง่ โดยจิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลาง ...นั่นแหละ คือผลของการภาวนาที่ฝึกมา ตั้งแต่ยังแข็งแรงอยู่ ยังเด็กอยู่

ไม่อย่างนั้นเวลาใกล้ตายน่ะ ...จะให้พระไปเทศน์ ให้พระไปสอนตอนนั้น...ไม่ทันแล้ว ...มันวางจิตไม่ถูกหรอก วางไม่ได้ เอาไม่อยู่...พุทโธก็ไม่อยู่แล้ว 

เขาบอกว่าให้พุทโธๆ ไปก่อนตาย “กูเจ็บจะตายห่าอยู่แล้ว พุทโธอะไร” ...ไม่มีทางหรอก มีแต่ว่า “ทำไงถึงจะหายๆ” นึกอยู่อย่างนั้น “ทำยังไงถึงจะไม่ตาย ..จะดีขึ้น” 

เนี่ย ความทุกข์ก็บีดรัด รัดรึง ...มันต้องเจอกันทุกคนน่ะแหละ จริงป่าว อันนี้ความจริงใช่มั้ย ...แต่เวลาเราอยู่ในหน้าที่การงาน ชีวิตประจำวันน่ะ เหมือนลืมตายเลย 

เหมือนลืมตายไป...ว่าคงไม่ตายวันนี้หรอก คงไม่ตายหรอกปีนี้ปีหน้า หลายๆ ปีข้างหน้า ...เห็นมั้ยนี่ที่พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า ตกอยู่ภายใต้ความประมาท

ความตายน่ะ มันไม่มีนิมิตหมาย ...ตายวันตายพรุ่ง ตายเดี๋ยวนี้ก็ยังได้ บทมันจะตาย บทมันจะเส้นเลือดในสมองแตก หัวใจวาย หรืออุบัติเหตุมากมาย ใช่มั้ย ใครจะไปรู้

อย่าว่ายังเด็กคงยังไม่ตาย ตายก็เยอะเด็กน่ะ ตายตั้งแต่เด็กก็มี ตายตั้งแต่หนุ่มก็มี  ไม่มีเครื่องหมายบ่งบอก เขายังมีคำพูดเลย “เห็นหน้ากันอยู่หลัดๆ ก็ตายไปซะแล้ว” 

แล้วตายทิ้งตายขว้างด้วยนะ ตายโดยโง่ๆ ตายไปพร้อมกับความโง่...โง่ที่ไม่รู้อะไรเลย ว่าอะไรคือการเกิด อะไรคือขันธ์ห้า แล้วทำไมจะต้องมาวนอยู่กับขันธ์ห้า

แล้วอย่านึกว่ามันจะไม่เกิดนะ นี่ เพราะมันไม่อยากตายน่ะมันจึงเกิด ...ไม่อยากตายเพราะอะไร มันหวง มันห่วง มันอาลัยอาวรณ์ขันธ์ห้า ...มันไม่ยอมเสีย

มันอาลัยอาวรณ์คนรอบข้าง ห่วง...พ่อ แม่ ลูก เมีย ผัว งาน สมบัติ  ห่วง อาลัยอาวรณ์ความสุขที่เคยได้ เคยทำได้ เคยเสวย ไม่อยากให้มันหาย จะให้มันมีอีก

นั่นน่ะ มีรึมันจะไม่กลับมาเกิด มีรึมันจะไม่ไปก่อร่างสร้างรูปขันธ์นามขันธ์ขึ้นมาใหม่ เพื่อจะมาสานต่อเป้าหมายที่มันคาดที่มันหวัง...แล้วมันยังไม่แล้ว มันไม่แล้วใจ “เรา” น่ะ

แม้กระทั่งขันธ์ ก็ว่า... “มันน่าจะดีกว่านี้ มันไม่สมควรจะมาตาย มันไม่ถึงเวลาตาย มันไม่น่าจะตายเร็วอย่างนี้” นั่น เดี๋ยวมันก็มาหาขันธ์ใหม่ เพื่อจะทำให้มันได้ตามที่ปรารถนา

แล้วก็มาอยู่ในวงจรเดิม...กลับมาอยู่ในวงจรเดิมอีกนะ เกิด แก่ เจ็บ ตาย กิน ขี้ อาบน้ำ เรียนหนังสือ ทำงาน หาเงิน หาเพื่อน หาแฟน ไปเที่ยว คุย หาความสุขไปวันๆ

แล้วก็อึดอัดคับข้อง กระทบนั่นกระทบนี่ ดีใจ-เสียใจไป แล้วก็ตาย...เหมือนเดิม แล้วก็เกิด...เหมือนเดิมอีก ... เห็นความเป็นวงกลมมั้ย มันเป็นวงกลม 

ที่ท่านเรียกว่าวัฏจักร หรือว่าวัฏฏะสงสาร ...รู้จักวงกลมใช่มั้ย มันมีจุดเริ่มต้นมั้ย มันมีจุดสิ้นสุดมั้ย มันจะเริ่มตรงไหนดี มันจะสิ้นสุดตรงไหนดี ก็มันเป็นวงกลมน่ะ 

แล้วมันจะออกจากวงกลมนั้นได้ยังไง เห็นมั้ย มันหมุนอยู่อย่างนั้นน่ะ หมุนอยู่ในความมืดมิด...ไม่รู้ว่าจะไปไหนดี มีชีวิตเพื่ออะไร สุดท้ายแล้วเพื่ออะไร ได้อะไร...ก็ยังไม่รู้ 

มันไม่รู้เลย ...ก็อยู่ไปอย่างนั้นน่ะ คิดว่าจะต้องให้ได้อย่างนั้น ให้ได้จุดนั้น  พอไปถึงจุดนั้น มันก็ยังบอกว่าเดี๋ยวก็ต้องมีจุดต่อไปอีก ...มันไม่รู้ว่าจะหยุดตรงไหนน่ะ

แม้แต่ว่าการใช้ชีวิตนี่ เอาว่าเรียนจบแล้วก็ลุล่วงไปแล้ว ก็ยังมีจุดหมายอีกคือทำงาน  ทำงานไปก็ เอ้า ต้องหาเงินให้ได้สักระดับนึง...หาบ้าน หาครอบครัวอยู่

แล้วดี๋ยวก็มีจุดหมายต่อไปอีก จนวันตายยังไม่แล้วเลยงานน่ะ จุดหมายน่ะ ...เห็นมั้ยว่านี่คือวงกลมของจิตผู้ไม่รู้ ไม่รู้ที่หมาย ไม่รู้จะไปไหนดี มีแต่ความทะยานไขว่คว้า

อะไรก็คว้าๆๆ ไม่คว้าก็นึกขึ้น เสกสรร ปรุงแต่งขึ้นมาลอยๆ ...เหมือนฝันหวานน่ะ ฝันไว้ก่อน เขาถึงมีคำพูดว่าวิ่งตามความฝันน่ะ ไอ้นั่นน่ะคือความปรุงแต่ง

แล้วจะปรุงแต่งยังไงก็ได้ ใช่มั้ย วันนี้ปรุงอย่างนึง พรุ่งนี้ก็ปรุงอีกอย่างนึง  วันนี้ก็จุดหมายแค่นี้ พรุ่งนี้อาจจะเป็นจุดหมายอื่นก็ได้  มันแน่นอนมั้ย...ไม่แน่หรอก

แล้วมันจะหยุด มันจะจบได้ยังไง มันจะมีวันสิ้นสุดได้อย่างไร มันจะออกจากเส้นวงกลมนี้ได้อย่างไร ...นี่ ถ้าลำพังตัวของพวกเรากันเองน่ะไม่มีทางออกได้หรอก ใช่มั้ย

เชื่อมั้ย หาทางคิดไปสิ จะออกยังไงดี จะทำยังไงดี คิดไม่ออก ไม่มีทางออก สลัดออกจากวงกลมนี้ได้ด้วยตัวเองเลย นั่น...ตราบเท่ามีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้


(ต่อแทร็ก 9/27  ช่วง 2)



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น