วันศุกร์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

แทร็ก 9/28 (3)


พระอาจารย์
9/28 (560101B)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
1 มกราคม 2556
(ช่วง 3)


(หมายเหตุ  :  ต่อจากแทร็ก  9/28  ช่วง 2

พระอาจารย์ –  ไอ้ตรงที่ไปหมายมั่นจริงจังกับความสงบ ที่ว่าดี ควร ถูก ใช่ ..ตรงนี้ที่ท่านเรียกว่า “ภพ” มันไปสร้างความจริงของภพนี้ขึ้นมา ว่าดี ว่าถูก ว่าต้องได้ ...ถ้าไม่ได้อย่างนี้แปลว่าไม่ได้ผล 

นั่น แล้วมันเชื่อ ..เมื่อภพนี้ไม่บังเกิดขึ้นในปัจจุบัน ก็หงุดหงิด ไม่พอใจ ปฏิฆะ งุ่นง่าน ...หาวิธีที่จะ to die for เพื่อความสงบแล้ว ต้องอย่างใดอย่างหนึ่งที่จะทำให้ได้

กลายเป็นว่าการปฏิบัติกลับเครียดไปเลย ยิ่งนั่งแล้วไม่สงบมากเท่าไหร่ ยิ่งเครียดมากเท่านั้น ...ทำไมเป็นอย่างนั้น นี่ พวกเราแก้โจทย์นี้ไม่ได้ ในระดับปัญญาพื้นๆ นะ จะแก้ไม่ได้เลย

แต่วิธีแก้ของเรา...คือไม่แก้อะไร ให้กลับมารักษาศีลคือรู้ตัวเข้าไว้ ไม่ต้องสนใจมัน  มันจะสงบ...ช่างหัวมัน มันจะไม่สงบ...ช่างหัวมัน ...ไม่ต้องทำ ไม่ต้องไปข้องแวะกับมัน 

เป็นเรื่องของมัน...ให้มันเป็นเรื่องของมัน  ไม่เอา “เรา” เข้าไปอยู่ในมัน ...นั่น แล้วเอาเรามาอยู่ตรงไหน เอาเรามาอยู่ตรงนี้ เอาเรามาอยู่ตรงนั่งกับรู้ว่านั่ง มันจะสงบไม่สงบ..ช่างหัวมัน

ซึ่งเดี๋ยวมันก็แอบคิดแล้ว.. “ถ้าไม่สงบ เดี๋ยวเขาว่ามาวัดตั้งหลายวัน กลับไปเขาถามว่านั่งสงบมั้ย ไม่เคยสงบเลย แล้วกูจะตอบยังไงดีวะ” เนี่ย มันจะเริ่มคิดอย่างนี้

ไม่เอา ไม่คิด ...เอา “เรา” มาอยู่ที่กาย รู้ตัว ...เนี่ย วิธีแก้ นี่คือวิธีแก้แบบพุทธะ แก้ด้วยศีล  ไม่ได้แก้ด้วยการกระทำ  ไม่ได้แก้ด้วย “เรา” ไปกระทำอย่างใดอย่างหนึ่ง อะไรอย่างหนึ่งขึ้นมา

ไม่ได้แก้ด้วยความคิด ไม่ได้แก้ด้วยอดีต ไม่ได้แก้ด้วยอนาคต ไม่ได้แก้ด้วยความเห็น ไม่ได้แก้ด้วยการวิเคราะห์วิจารณ์ ...แต่แก้ด้วยศีล แก้แบบโง่ๆ นี่แหละ

ดูเหมือนเป็นวิธีแก้แบบโง่ๆ ...แต่โง่เข้าไปเถอะ แล้วจะอยู่เหนือมัน ไม่อยู่ใต้มัน เพราะโง่นี่แหละ ...ไอ้ที่อยู่ใต้มันนี่เพราะมันฉลาดเกินไป...มันฉลาดเกินไป

ไอ้ฉลาดน่ะไม่ว่า แต่ไอ้ฉลาดเกินไป นี่มันรู้เกินไป มันอ่านมากเกินไป มันได้ยินมากเกินไป มันคิดมากเกินไป มันปรุงแต่งเกินความเป็นจริงไป ...พวกนี้ มันจึงเป็นเหตุให้ปิดบังความเป็นจริง

แล้วก็ไปหลงอยู่ในความรู้เหล่านั้น...ที่มันเกินจริง มันรู้เกินจริง ...เข้าใจรึยังที่ว่ารู้เกินจริง หือ ถ้าจริงก็คือ ตูดกระทบพื้นน่ะสิจริง ถ้ารู้นอกจากนี้มันเกินจริง

ไอ้เกินจริงนั่นแหละมันจะเป็นเหตุให้เกิดความพัวพัน มันเกินจริงนั่นแหละจะเป็นเหตุให้ติดและข้องในความรู้ของ “ตัวเรา” ...มันเป็นความรู้ของตัวเรา มันไม่ใช่ความรู้จริง

ปัญญาต้องรู้จริง ไม่ใช่เอา “เรา” เข้าไปรู้จริง ไม่ใช่ความรู้ของเรา ไม่ใช่ความเห็นของเรา ...เพราะอะไร ...เพราะโคตรพ่อโคตรแม่ของ "เรา" คืออวิชชา โคตรพ่อโคตรแม่ของเราคือความไม่รู้

ตอนนี้พวกเรายังไม่เข้าใจหรอก ไว้เข้าใจทีหลัง ...อยู่กับตูดกระทบพื้น ขากระทบดิน แค่นี้ เดี๋ยวเข้าใจเอง เดี๋ยวมันจะเข้าใจเองว่า แท้ที่จริงแล้ว หา “เรา” มิได้เลยในนี้

แท้ที่จริงแล้ว หา “เรา” มิได้เลย ในสามโลกธาตุ หา “เรา” ไม่ได้เลยในอดีตและอนาคต...ไม่มี ...แต่ตอนนี้ทุกอย่างเป็น “เรา” ตอนนี้ทุกอย่างเป็น “ของเรา” ได้ไง...ได้ไง

ได้แบบโง่ๆ ไง แล้วก็เข้าใจว่านี่เป็นธรรมชาติของเรา ...ก็ใช่ ก็ธรรมชาติ แต่ว่าเป็นธรรมชาติ  “ของเรา” ไม่ใช่ธรรมชาติที่แท้จริง ...คนละเรื่องนะ ธรรมชาติของขันธ์ ธรรมชาติของโลก

ธรรมชาติของสิ่งที่ปรากฏก็คือธรรมชาติที่แท้จริง ...แต่มันมักจะเข้าไปว่า เป็นธรรมชาติของเรา ไอ้นี่เป็นธรรมชาติของเรา ยืนเดินนั่งนอนแบบเผลอๆ เพลินๆ ก็เป็นเรา

ก็เราเป็นอย่างนี้จะไปทำยังไงล่ะ ...ก็ใช่น่ะสิ ก็ธรรมชาติของความโง่ไง ก็ธรรมชาติของความไม่รู้ไง มันจึงสร้างตัวนอมินีขึ้นมาคือ “เรา” “เรา” นี่คือนอมินีของอวิชชา

แล้วมันก็อาศัย “เรา” นั่นแหละไปทำงานแทนความไม่รู้คืออวิชชา เพื่อให้ได้อะไรสักอย่างนึงมา เพื่อมาสนองความพึงพอใจของความไม่รู้เนื้อรู้ตัวของมันนั่นแหละ

เพราะนั้นอย่าไปถามเลยว่า อวิชชาอยู่ไหน ...ปัญญาระดับหัวไอ้เรืองนี่ไม่มีทางเห็นหรอก จะไม่เห็นเลยว่าโคตรมันอยู่ที่ไหน หาดูสิ กิเลสมันเกิดมาจากตรงไหน ความอยากมันเกิดขึ้นมายังไง

อยู่ดีๆ มันจะลอยมายังไง หือ ...ไฟฟ้านี่ เห็นว่าไฟสว่างอย่างนี้ มันมีที่กำเนิดใช่ไหม ไม่เขื่อนก็เป็นเครื่องปั่นไฟน่ะ อยู่ดีๆ มันจะลอยมาสว่างลอยๆ มีมั้ย

ความคิดน่ะ อยู่ดีมันจะลอยขึ้นมาได้ยังไง ความรู้สึก...อยู่ดีๆ มันจะลอยขึ้นมาได้ยังไง  ความอยาก ความไม่อยาก ความพอใจ ความไม่พอใจ อยู่ดีๆ มันจะมาจากไหน

แล้วรู้มั้ยว่าต้นกำเนิดมันอยู่ไหน ไม่มีทางเห็นเลย ตาระดับพวกเรานี่ ...ตาพระอรหันต์น่ะเห็น ตาพระอนาคา...พอลางๆ  ตาพระสกิทาคา พระโสดา..รู้ว่ามันมีต้นกำเนิดอยู่ภายใน

แต่ตาปุถุชนนี่...ช่างหัวมัน ไม่สนใจหรอก มายังไงก็ช่าง กูทำตามมันอย่างเดียว กูเป็นเบ๊รับใช้มึงน่ะ... มึงว่าไง...กูว่างั้น มึงว่าอยาก...กูก็อยากตามมึงน่ะแหละ

มึงสั่งให้กูไม่อยาก...กูก็ทำไปตามความไม่อยากตามมึงว่านั่นแหละ ...นั่นคือรูทีนเลย นั่นแหละคือธรรมชาติของ “เรา” ตกอยู่ใต้อำนาจอุ้งตีนของมันเลย ไม่มีกระดิกกระเดี้ยเลย

นั่นน่ะเขาเรียกว่าถูกจำคุกตลอดชีวิต ...รับโทษไปเถอะ ถูกพิพากษาไปแล้ว ไม่มีสิทธิ์อุทธรณ์และฎีกา แก่ตายในคุก แล้วก็เกิดตายในคุก

มันไม่ใช่ว่าแก่ตายในคุกแล้วจะเล็ดรอดออกมาจากคุกนะ...ก็ยังเสือกผุดเกิดขึ้นในคุกอีก เอาดิ ...เออ ถ้ามันตาย แล้วมันตายออกจากคุกก็ไปเกิดที่อื่นแล้วก็น่าจะดีหน่อยนะ

แต่นี่ไม่มีอ่ะ ...ตายแล้วมันก็เกิดใหม่ เกิดใหม่มันก็เกิดในคุก แล้วก็ตาย-เกิดๆๆ ในคุกนี่แหละ ...พอดีว่าคุกนี่มันใหญ่ขนาดอนันตาจักรวาลไง เราเลยไม่รู้สึกว่าอยู่ในคุก

แต่พระพุทธเจ้าท่านเห็นว่ามันเป็นคุก เอ้า แล้วก็สอนให้ออกจากคุก ...ก็มีคนเชื่อท่าน แล้วก็วิ่งๆๆ เดินๆๆ วิ่งออกไปนอกคุกได้ ก็...อ้อ ใช่ๆๆ ...นี่เขาเรียกว่าสังฆะ

ก็เห็นตามที่พระพุทธเจ้าท่านว่า แล้วก็ทำได้จริง ออกจากคุกได้ ...ก็มาบอกต่อ  เพราะพระพุทธเจ้าตายไปแล้ว ก็อาศัยสังฆะมาพูด มาบอก แล้วก็มายืนยันด้วยว่ามีจริงนะ ที่อยู่เหนือคุกนี่มีจริง

แต่เสียงคนที่มายืนยันต่อไปก็น้อยลง แผ่วลง บางลง ...ไอ้พวกนี้ก็เฮๆๆ อยู่ในคุกน่ะ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น... "เป็นไรไป ก็ทุกคนก็เป็น หกพันล้านคน เยอะดี สนุกดี"

เดี๋ยวพอปีสองพันเก้าร้อย สามพัน สี่พัน สี่พันห้าร้อย หูย คนนี่ไม่ใช่หกพันล้าน อาจจะเป็นหลายหมื่นล้าน สนุกใหญ่เลย...จะสนุกใหญ่เลย สนุกกิเลสเลยอ่ะ ฆ่ากันบรรลัยจักรน่ะ

เพราะอะไร ...ศีลเสื่อม สมาธิเสื่อม ปัญญาเสื่อมหมด  แล้วถามว่า ถ้ามนุษย์ในโลกนี้ เกิดมาไม่เคยได้ยินคำว่าศีลน่ะ เอาว่าศีลหยาบด้วยคือศีลห้านี่แหละ 

ถ้ามันไม่เคยรักษาศีลห้าเลย ไม่รู้จักศีลห้าเลย แล้วไม่รู้จะรักษาไปทำไม ไม่เห็นคุณค่าของศีลห้าเลย ...
ถามเอาว่า คนหมื่นล้านคนในนั้นจะเป็นยังไง 

มันก็เป็นแบบ...“มึงอยู่มาใกล้ตีนกูนะ..ตาย”  นั่น ถึงขั้นตาย ตายโดยที่ไม่อนาทร ไม่สนใจเลย  อย่าให้หงุดหงิดรำคาญกันนะ สามารถฆ่าได้โดยที่ไม่ละอายใจเลย

เพราะไม่รู้จักคำว่า “ศีล” ไม่เห็นคุณค่าเลยว่าศีลคืออะไร ทำแล้วมีคุณมีโทษอย่างไร มีบาปมีทุกข์ยังไง ไม่รู้จัก...หมดแล้ว หมดความหมายของศีลไปแล้ว

มันไม่ใช่หมดทีเดียวนะ แต่ค่อยๆ จาง หายไป ดูเอา นี่จริงหรือไม่ กับในสมัยเราเกิด สมัยโยมเกิดนี่ โลกไม่ใช่อย่างนี้ คนไม่ใช่อย่างนี้ นิสัยไม่ใช่อย่างนี้ บอกให้เลย

แล้วคนในยุคของหลวงปู่มั่น ร้อยสองร้อยปีก่อน คนไม่ใช่อย่างนี้ นิสัยไม่ใช่อย่างนี้ ไม่เหมือนกันนะ ...มันทรามลงนะ ศีลธรรม จริยธรรม คุณธรรม ความเกรงกลัว ความละอายต่อบาป ทรามลงไปเรื่อยๆ 

แล้วมันบูชาอะไรเป็นหลัก...เทคโนโลยี ความรวดเร็ว ความทันสมัย ความอะไรที่มันได้ดั่งใจ ทันทีทันทันควัน นั่นแหละดี นั่นแหละอุปกรณ์นั้นแหละเป็นที่พึ่ง เป็นสรณะ

ใครว่าพุทธะเป็นสรณะ ใครว่าธรรมะเป็นสรณะ ใครว่าสังฆะเป็นสรณะ ก็ถูกว่า พวกหลังดอย ...ยิ่งเดี๋ยวนี้ก็ไอโฟน ไอแพ็ดๆๆๆ กาแล็กซี่พลัสๆ ไวปานลิง (โยมหัวเราะกัน)

อยากได้อะไรก็ปุ๊บๆ ปั๊บๆ แอ๊พๆๆ โหลดมันเข้าไป จะเอากี่แอ๊พล่ะ ...ไวไปหมด ทันใจไปหมด รอกันไม่เป็น นี่ เดินจนจะไม่เป็นกันแล้ว เดินหนึ่งกิโลนี่..ตายแล้วๆ

คนสมัยก่อนเดินเป็นสิบโล เฉยๆ ไม่รู้สึกเดือดร้อน ความอดทนสูงมาก ...สมัยนี้ความอดทนอดกลั้นของคนนี่ ต่อมความอดทนน่ะมันเท่าเล็บตีนมั้ง พร้อมที่จะฟึดฟัดได้ทันที ...ขับรถบนถนนนี่ระวังให้ดีเหอะ

เห็นมั้ยว่านี่แหละคือให้หมั่นสำรวจตัวเอง แล้วก็อยู่กับตัวเอง มันจะได้เข้าใจ แล้วมันจะมีคุณค่า ...ตอนนี้อาจจะยังไม่ทันเห็นคุณค่ามันมาก แต่ทำไปเรื่อยๆ เถอะ

ด้วยความพากเพียรนะ ...มันจะปรากฏคุณค่าของใจ จะปรากฏคุณค่าของการภาวนาว่า ให้ความร่มเย็น...กับตัวเองและคนรอบข้างได้ยังไง แค่นี้เอง คือเป้าหมาย

ไม่ได้เอาดีเอาเด่ ไม่เอาเป็นที่เคารพเทิดทูน ให้ใครเอาธูปเทียนมากราบหรอก ไอ้นั่นมันอีกเรื่องหนึ่ง ...แต่เรื่องสำคัญคือ เราเกิดความร่มเย็นภายในตัวเอง

แล้วมันก็เป็นความร่มเย็นถึงคนรอบข้าง คือความร่มเย็นเล็กๆ ในพื้นที่นึงของโลกนี้  ถือว่าเป็นมงคลแล้ว ไม่ต้องเอาขั้นหลุดพ้นอะไร เอาแค่ในบ้านแล้วเกิดความร่มเย็น

ไม่ใช่เข้าบ้านปุ๊บนี่ ตานี่ยิ่งกว่ามีด กรีดกันไปกรีดกันมาอยู่อย่างนั้น (เสียงโยมผู้หญิงหัวเราะกิ๊ก) ปากนี่เหมือนกับไม้ตะพด ทุบแล้วก็ตี ...มันใช้ได้ทุกอาวุธในอายตนะ เชื่อมั้ยล่ะ


โยม –  ใช่ ปากไปก่อนเลยหลวงพ่อ     

พระอาจารย์ –  ไม่ต้องปากอ่ะ ค้อนไปแล้ว ค้อนไปก่อนเลย (เสียงโยมผู้ชายหัวเราะ) ยังไม่ทันพูดเลยนะ ค้อนถึงเลย   


โยม –  (หัวเราะกัน)

พระอาจารย์ –  นั่นน่ะ จิตน่ะ เห็นมั้ย เครื่องมือของมัน มันใช้ได้หมดเลย แต่ว่าเป็นการเบียดเบียนตลอด

แต่ว่าถ้าเราควบคุมกาย รักษากาย ด้วยความสำรวมไว้ แล้วทุกอย่างมันจะได้รับการพัฒนาขึ้นไปตามลำดับ ...อาศัยการพัฒนาตัวเองนี่ จึงเรียกว่าเป็นผู้ประเสริฐ

แล้วไอ้ที่ว่า...คนอื่นทำไมมันไม่ทำ ทำไมมันไม่ดีเหมือนกูวะ ทำไมมันไม่ทำอย่างกู ...ไอ้นั่นน่ะอย่าไปสนใจ ให้พัฒนาตัวเองแหละดีที่สุด ไม่งั้นเดี๋ยวมันจะโดนตีนเขา หรือก็ค้อนมาก่อน อะไรอย่างนี้ 

เอ้า เอาแล้ว เดี๋ยวไปกินข้าวไม่อร่อย (หัวเราะกันครืน) ...เดี๋ยวจะว่าฟังเทศน์ฟังธรรมแล้วกินข้าวไม่มีรสชาติเลยกู 

โยม   ดีแล้วครับ ได้นำพาไปใช้ได้


..................................




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น