วันอังคารที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

แทร็ก 9/27 (2)


พระอาจารย์
9/27 (560101A)
1 มกราคม 2556
(ช่วง 2)


(หมายเหตุ  :  ต่อจากแทร็ก  9/27  ช่วง 1

พระอาจารย์ –  เหมือนเราวนอยู่ในความมืดมิดน่ะ หาทางออกไม่ได้...ในการดำรงชีวิตนี่ เกิด-ตายๆๆ ...ก็ทำไป ดูเหมือนมันรู้อะไรไปหมดนะ แต่มันก็วนอยู่ในอาการเดิมนั่นแหละ

นี่ ที่ท่านเรียกว่ามันเดินอยู่ในความมืดมิด ในอนันตาจักรวาล ในโลกที่หมุนวน ...เพราะอะไร ...เพราะโลกก็อยู่ในจักรวาล แล้วโลกมันก็มีอายุขัย เดี๋ยวมันก็แตก

แตกแล้วไม่ต้องกลัว ...ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีที่เกิด เดี๋ยวมันก็มีโลกใหม่  เพราะจักรวาลนี่ มีโลกปะเลอะ ปะเลอะปะเต๋อ...ภาษาเหนือว่ามันเยอะ นับไม่ถ้วน

จักรวาลนับไม่ถ้วน กาแล็กซี่นับไม่ถ้วน มันก็ลอยเคว้งคว้างอยู่เนี่ยไม่ไปไหน ...พอเหตุปัจจัยพร้อมพอเหมาะพอสม ดินดี น้ำชุ่ม อากาศสมบูรณ์ เอ้า ปึ้ง...เกิด  

นี่ ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีที่เกิดหรอก มันก็หมุนอยู่ในจักรวาลนี่แหละ...เป็นวัฏฏะ เป็นความหมุนวน ...แล้วก็อยู่อย่างนี้ จะไม่มีทางออกได้เลย เหมือนความมืดมิดมืดมน

แต่ว่าสักหลายๆ กัป หลายๆ กัลป์...ถ้านับเป็นเวลา คือสมมุติเป็นเวลาขึ้นนะ ...เพราะในอนันตาจักรวาล ในความมืดมิดของวัฏฏะสงสารนี่ไม่มีกาลเวลา 

คือไม่มีเวลาเลย คือไม่มีจุดเริ่มต้นและไม่มีจุดสิ้นสุด มันจะไม่มีเวลาหรอก ...เพราะไม่รู้มันเกิดตรงไหน แล้วมันจะไปสิ้นสุดที่ไหน ไม่มี นี่คือจักรวาล อนัตตาจักรวาล

มันจะเกิดซ้อนๆๆๆ ไปเป็นลูกโซ่ ไม่มีหยุดเลย ...ไม่ต้องถามว่าเวลาอยู่ที่ไหน ไม่มีหรอก ไม่มีเวลาในนั้นเลย มันมีตลอดเวลา เป็นอย่างนั้นเลย หมุนเกิดดับๆๆ สลับกันอยู่อย่างนั้นน่ะ

แต่ถ้าสมมุติขึ้นเป็นเวลาก็เป็นช่วงกัปนึง ...หลายๆ กัป..หลายๆ กัป ก็จะบังเกิดสัตว์โลกที่บำเพ็ญด้วยตัวของท่านเอง เพื่อค้นหาทางออกจากวงกลมนี้

ก็เรียกว่าบำเพ็ญจนเต็ม...บารมีเต็ม ปัญญาเต็ม จึงได้มาตรัสรู้ขึ้นเป็นพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งๆ นั่น ...คือพระพุทธเจ้านี่ไม่ได้มีองค์เดียวนะ ...นับไม่ถ้วน

ถ้าจักรวาลมันไม่มีอายุ พระพุทธเจ้าก็ไม่มีลิมิทเช่นกัน..มากมายนับไม่ถ้วน ...แต่ว่าหลายๆ กัป หลายๆ กัลป์น่ะ ถึงจะมีพระพุทธเจ้ามาบังเกิดขึ้นสักครั้งหนึ่ง

และเมื่อคราครั้งใดที่พระพุทธเจ้าท่านมาบังเกิดหรือว่าตรัสขึ้นนี่...ก็เปรียบเหมือนไม้ขีดไฟที่ขีดขึ้นมาท่ามกลางความมืดมิดในอนันตาจักรวาล...วาบหนึ่ง

มันเป็นความสว่าง ท่ามกลางความมืดมิดไม่รู้เหนือรู้ใต้ของสัตว์โลก ว่าจะไปทางไหนดี ทำไปเพื่ออะไร มีชีวิตเพื่ออะไร แล้วจะไปจบที่ไหน ไม่รู้เรื่องรู้ราว

จะมีความสว่างเกิดขึ้น เหมือนก้านไม้ขีดไฟ...ไม่นานนะ ...ไอ้ดูเหมือนไม่นานนี่หมายความว่า...ห้าพันปีเนี่ย ไม่นานนะ ถ้าเทียบกับอายุจักรวาลแล้ว นิดเดียวเอง เหมือนก้านไม้ขีดไฟอย่างที่เราเปรียบ

แล้วพวกเราเนี่ย เรียกว่าโชคดีหรือโชคร้ายกันล่ะ ที่มาเกิดในช่วงห้าพันปีนี้...ที่มันมีแสงสว่างแค่เหมือนก้านไม้ขีดไฟในอนันตาจักรวาลเนี่ยน่ะ ...ถ้าว่าถูกหวย...ก็รางวัลที่หนึ่งแล้ว 

มันไม่ใช่ว่าจะมาเจอกันง่ายๆ นะ ...ไม่ใช่ง่ายที่จะมาเจอคำว่าศีล ไม่ได้ง่ายที่จะได้ยินคำว่าสมาธิ ไม่ได้ง่ายๆ ที่จะได้ยินคำว่าปัญญาญาณ มรรค ผล และนิพพาน

นี่ จะมีแค่ตรงช่วงนี้เอง ในช่วงแสงสว่างของก้านไม้ขีดไฟตรงนี้ ห้าพันปีนี่ ...แล้วถ้ามองโดยหมายความถึงว่าตอนนี้...ก้านไม้ขีดนี่จุดไฟได้ลามมาเกินครึ่งแล้ว 

คือหัวไม้ขีดน่ะดับไปแล้วเมื่อสองพันกว่าปี แต่ยังมีเชื้อหลงเหลืออยู่ตรงนี้ กำลังไหม้มาเกินครึ่งแล้ว ...แล้วถ้าหมดนี่ วึบ ดับ มืด ...ไม่ต้องถามอายุว่ากี่ขวบปีกว่าจะมีพระพุทธเจ้าอีก

แต่การเกิด-ตายไม่หยุดนะ...การเกิดตายของมนุษย์ที่ยังไม่เชื่อ ไม่ทำตาม ไม่ปฏิบัติตามแนวทางที่พระพุทธเจ้าแนะให้ในช่วงเวลานี้...ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เขาเรียกว่า "นาทีทอง"

เหมือนได้นาทีทอง ที่พระพุทธเจ้ามาตรัส มาชี้ มาบอกว่า...ทำอย่างไร ปฏิบัติอย่างไร ดำรงชีวิตอย่างไร จึงจะเป็นไปเพื่อจะหลุดจากวงจรนี้ นี่...ท่านเรียกว่ามรรค

ท่านเป็นห่วงสัตว์โลกที่ยังประมาทอยู่ เพราะท่านเห็นเลยว่า ถ้าพ้นจากความสว่างตรงนี้ ห้าพันปีนี่ ...ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ จะได้มีคำว่า..มรรค ศีล สมาธิ ปัญญา..บังเกิดขึ้นอีกครั้งอีกคราหนึ่ง

แล้วไอ้สัตว์โลกผู้ที่เคยได้ยินได้ฟัง แต่ว่าประมาท ไม่น้อมนำไปฝึกหัดปฏิบัตินี่ มันไม่หยุดการเกิดการตาย ...ก็จะต้องวนเวียนอยู่ในก้อนทุกข์กองทุกข์ ก้อนโลกกองขันธ์

มันจะต้องซ้ำซาก วนเวียน อยู่อย่างนี้  ซ้ำซากวนเวียนอยู่ในความมืดมิด ไม่ได้เห็นเดือนเห็นตะวัน ...เหมือนถูกจำคุกตลอดชีวิต ไม่ได้รับการอภัยโทษเลย 

ก็ให้นึกว่านักโทษที่โดนจำคุกตลอดชีวิตนั่นน่ะ เนี่ยคือพวกเรา ที่ถูกจำคุกในวัฏฏสงสารนี่ เรียกว่าอุทธรณ์ฎีกาไม่ได้เลย ไม่มีลดหย่อนผ่อนโทษได้เลย

เกิดซ้ำเกิดซาก ตายซ้ำตายซากอยู่ในคุก เกิดใหม่ก็เกิดอยู่ในคุก แล้วก็มีชีวิตอยู่ในคุก แล้วก็กินนอนอยู่ในคุก แล้วก็ตายอยู่ในคุก แล้วก็เกิดอีกอยู่ในคุก นั่นน่ะ

คุก...อนันตาจักรวาลนี่เหมือนคุก แล้วไม่มีใครทำลายกำแพงคุกนี้ได้...ด้วยนักโทษสัปรังเคอย่างพวกเรานี้หรอก คงไม่ต้องถามถึงปัญญาบารมี ศรัทธา ความเพียรเลยนะ

ก็จนกว่าจะมีพระพุทธเจ้าสักองค์นึง...มาโปรด มาพูด มาสอน มาแนะ มาวางโร้ดแมพ...คือพระธรรม เหมือนแผนที่ ว่าเนี่ย เดินตามเส้นทางนี้ แล้วจะออกจากคุกนี้ได้

ซึ่งถ้าได้ออกจากคุกนี้แล้ว หมายความว่า จะไม่ติดคุกนี้อีกเป็นอนันตกาล ...หมายความว่าหลุดแล้วหลุดเลย จะไม่กลับมาเป็นนักโทษซ้ำซากอีก

นี่ถึงบอกว่าคุณค่าของพุทธะ คุณค่าของธรรมะ คุณค่าของสังฆะ ยิ่งใหญ่ไม่มีประมาณ ...มันประมาณได้มั้ยล่ะ ชี้ทางชี้ขุมทรัพย์อันมีค่ามหาศาลให้อย่างนี้น่ะ

เหมือนชี้ขุมทรัพย์ที่มีค่ายิ่งกว่าใดๆ ทั้งหลายทั้งปวงที่มีค่าในโลกนี้ หรือมีค่าอยู่ในคุกนี้ ...ถึงบอกว่าพุทธะไม่มีประมาณคุณท่าน พระธรรมไม่มีประมาณ พระคุณของพระธรรม

ถ้าไม่มีพุทธะ ถ้าไม่มีธรรมะ ถ้าไม่มีสังฆะ...ที่เป็นก้านไม้ขีดไฟที่หลงเหลือออกมาจากหัวไม้ขีดน่ะ นี่คือสังฆะ ที่เป็นธรรมทายาทสืบทอดธรรมต่อเนื่องมา

สามารถน้อมนำธรรมท่านมาปฏิบัติแล้วกล้ายืนยันในธรรม ไม่ต่างกับพระพุทธเจ้าว่า...ทำได้ แล้วทำได้จริงด้วย ...นี่เป็นผู้ยืนยันอีกครั้งหนึ่ง การันตีพระธรรม

ท่านถึงมาเคี่ยวเข็ญ มาพูด บอก สอน แม้กระทั่งด่า เตือนให้ ...เพราะจิตมนุษย์ จิตสัตว์โลก เต็มไปด้วยความหลง มัวเมา ประมาท เต็มไปด้วยความยึดมั่นถือมั่น 

มันจริงจังในสิ่งที่ไม่ควรจริงจัง หาสาระกับสิ่งที่ไม่มีสาระตลอดเวลา โดยไม่โงหัวเลย ไม่ยอมรับว่าตัวมันโง่ด้วย ...ท่านถึงต้องเคี่ยวเข็ญ ปากเปียกปากแฉะ จนท่านตายไป

ถือว่าเป็นการสงเคราะห์ ให้สัตว์ให้มนุษย์มีปัญญาเพิ่มขึ้น ฉลาดขึ้น จะได้รับการอภัยโทษ...บ้าง ...คือถึงแม้จะยังไม่หลุดจากคุกนี้ แต่ก็ได้รับการบรรเทาโทษ

อาจจะลดโทษกึ่งหนึ่ง หนึ่งในสี่ หนึ่งในสาม  นี่เรียกว่าได้รับการอภัยโทษแล้ว เพราะทำตัวดี ...เหมือนทำตัวดีกลายเป็นนักโทษชั้นดี ก็ไปอยู่ใกล้ๆ กับประตูทางออกจากคุกน่ะ

เมื่ออยู่ใกล้ประตูทางออก เห็นประตูทางออกแล้ว นี่ ถ้าประพฤติดีจนถึงที่สุดก็ประตูคุกก็เปิด นั่น เปิดแล้วก็...กูไม่กลับมาอีกแล้วคุก ใครมันจะบ้ากลับมา...ก็คุกอ่ะ

แต่พวกเรายังบอกว่าเหมือนสวรรค์ ใช่มั้ย อารมณ์สุข อารมณ์พอใจ สิ่งที่สวยๆ งามๆ ความสุขที่ได้จากการกินการเที่ยว ความสุขที่ได้จากการเห็นการได้ยิน ...มันยังน่าใคร่อยู่

เห็นมั้ย มันของล่อลวงนะนั่น ...ทั้งของล่อลวงในคุกก็เยอะแยะ ของซื้อของขายแลกเปลี่ยนกันในคุกก็มี  ...มันก็มองไม่เห็นกันหรอกว่ามันเป็นทุกข์ตรงไหน

แต่พอภาวนาไปแล้วจะรู้เลย....ทั้งหมดที่ใช้กันอยู่นี่ ของปลอม ของเก๊ ของเลียนแบบ ของที่ไม่จริง ...แต่ตอนนี้มันดูจริงหมดเลย ถูกหลอกอยู่ แล้วก็เต็มใจให้เขาหลอกด้วย

หรือเขาไม่อยากหลอกก็ไปหาทางให้เขาหลอกอีก เอ้า นั่นแหละ พวกเราทุกคนไป ไม่เว้น เด็ก หนุ่ม แก่ ผู้หญิง ผู้ชาย เป็นหมด เป็นมาตั้งแต่เกิด ...ไม่มีใครเก่งกว่าใครหรอก เท่ากัน โง่เท่ากัน

แต่ว่ามันจะมาเก่งกว่ากันตอนที่ว่า ใครภาวนาดีกว่ากัน สร้างปัญญามากขึ้น เห็นอะไรชัดเจนขึ้น ถ่องแท้ขึ้น รอบด้านมากขึ้น ถี่ถ้วนมากขึ้น หายโง่มากขึ้น ไปเพิ่มความโง่น้อยลง

นั่น จะได้รู้เลยว่า...อยู่อย่างนี้คือออกจากความโง่  ถ้าทำอย่างนั้นเพิ่มความโง่...แล้วกูจะไปทำมั้ย ไอ้การที่ทำแล้วจะไปเพิ่มความโง่เง่าเต่าตุ่น เพื่อจะได้รับโทษซ้ำซาก ทวีคูณ...มันก็ไม่ทำ

แต่ว่าอันไหนทำแล้วมันรู้สึกได้รับการอภัยโทษ มันเบา มันบางลง ....อันนี้ทำ มันรู้แล้วว่าทำอย่างนี้จะได้รับการอภัยโทษ จะได้รับการบรรเทาโทษ...มันก็ทำ


(ต่อแทร็ก 9/28)




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น