วันอาทิตย์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

แทร็ก 9/29 (2)


พระอาจารย์
9/29 (560101C)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
1 มกราคม 2556
(ช่วง 2)


(หมายเหตุ  :  ต่อจากแทร็ก  9/29  ช่วง 1

โยม  เวลาจิตส่งออก เหมือนกับว่าจิตออกไป แล้วเราต้องใช้ใจดึงกลับมา   

พระอาจารย์ –  ใช้ “สติ” ไม่ใช่ใช้ใจ ...ใจไม่มีทำหน้าที่อะไรได้เลย เขาอยู่ของเขาเฉยๆ แต่สติน่ะเป็นตัวดึงกลับ เหมือนกับระลึก...แล้วมันจะหยุด

ระลึกแล้วมันจะขาด ขาดจากจิต จิตมันจะหยุด พอหยุดปุ๊บ ใจก็ปรากฏ เป็นดวงผู้รู้ เป็นผู้รู้ที่อยู่เฉยๆ คือทำหน้าที่รู้และเห็นตลอดเวลา

แต่ทุกครั้งที่มีอาการของจิต จิตมันจะหมุนวน แล้วก็ครอบ ปิดบังใจ ...แต่พอมีสติระลึกทันปุ๊บ ไม่ต่อเนื่อง ไม่สืบเนื่อง ไม่ต่อเนื่อง ไม่ให้กำลังของจิต ไม่ให้เรื่องราวตามจิตออกไป

จิตมันจะเสื่อมแล้วก็หมด  พอหมด ก็เหมือนเมฆที่หุ้มสลาย ก็ปรากฏใจผู้รู้อยู่ เพราะนั้นใจไม่ได้ทำอะไรเลยนะ ก็แค่รู้อยู่ที่นั้นน่ะ 


โยม –  แค่เป็นตัวรู้

พระอาจารย์ –  รู้อยู่อย่างนั้น เพราะนั้นใจก็สร้างขึ้นไม่ได้ ...แต่ว่าที่เหมือนเราสร้างขึ้นได้ เพราะสติมันทำงาน  


โยม –  สติเป็นตัวทำ  

พระอาจารย์ –  ใช่ สติมันเท่าทัน ...พอเท่าทันปุ๊บ ใจก็อยู่เฉยๆ มันก็ปรากฏขึ้น เหมือนกับสติสมาธิปัญญาเป็นตัวขัดล้าง ซักฟอก ชำระ สิ่งที่ครอบคลุมใจ

ใจเขาก็อยู่อย่างนั้น เหมือนเพชรน่ะ เหมือนเพชรในตมน่ะ ถามว่าเพชรในตมมีความสว่างอยู่ในตมมั้ย...มี ไม่มีอะไรเข้าไปแทรกซึมในเพชรเลยนะ

แล้วใครเป็นคนขัด ไอ้นั่นแหละศีลสมาธิปัญญา...อ้อ แท้ที่จริงมันสว่าง ต่อให้อยู่ในตมมันก็สว่าง แต่ไม่เห็นความสว่างนั้น ...นี่คือความบริสุทธิ์ของใจ


โยม  อือม์ 

พระอาจารย์ –  ใจเป็นอย่างนี้ ไม่มีใครทำให้ใจบริสุทธิ์ได้ ไม่มีใครทำให้ใจไม่บริสุทธิ์ได้  ทำให้บริสุทธิ์ก็ไม่ได้ ทำให้ไม่บริสุทธิ์ก็ไม่ได้

เพราะธรรมชาติของใจเป็นอมตะ เข้าใจมั้ย ไม่มีคำว่าเกิดดับ มากน้อย นอกใน เพราะไม่มีที่ตั้ง ไม่มีตัวตน ...เออ ไอ้นี่ขั้นแอดวานซ์แล้ว ยังไม่ถึง...ไม่ไป (โยมหัวเราะกัน)
 

โยม –  ตอนนี้คอมพิวเตอร์ไปแอดวานซ์ 

พระอาจารย์ –  เพราะนั้นว่าทำหน้าที่ให้ตรงต่องาน ตรงแค่ว่า อยู่อย่างนี้ ...แล้วใจมันจะชัดขึ้นเอง เขาจะชัดขึ้นมาเรื่อยๆ ดวงจิตผู้รู้นี่

เพราะนั้นตัวดวงจิตผู้รู้ก็ยังไม่ใช่ใจ บอกให้เลย ยังมีแอดวานซ์กว่านั้น ...แต่ว่าถ้าไม่อาศัยดวงจิตผู้รู้ จะเข้าไม่ถึงใจเลย บอกแล้วว่ามันเป็นไปตามลำดับ

แต่ตอนนี้หาใจให้เจอ ไม่ใช่วิธีค้นหา...หาด้วยศีล หาด้วยสติ นั่นแหละจึงเรียกว่าใจจึงจะปรากฏ  
 

โยม –  ไปหามาให้เจอ 

พระอาจารย์ –  อือ มันก็ปรากฏขึ้น ชัดเจนขึ้น ว่า..อ๋อ ตั้งมั่น อ๋อ สัมมาสมาธิ อ๋อ จิตหนึ่ง อ๋อ มีเหลือแค่รู้ เนี่ย มันจะชัดในแง่นี้ ...หมายความว่าขณะนั้นจิตเริ่มรวมแล้ว จิตเริ่มรวมศูนย์แล้ว


โยม  พอดีวันนั้นที่ดูรายการทีวี หนูก็ยังสงสัยว่า มีคนเขาไปที่จ.ลพบุรี แล้วเขาก็มีผีเข้ามา หนูก็เลยคิดว่าไอ้สิ่งนี้ แล้วเขาก็มาออกรายการหนึ่ง เขาก็เข้าๆ ออกๆ คือหนูก็เลยสงสัยว่า..เอ๊ แล้วเขาทำไมคุมตัวเองไม่ได้ถึงขนาดนั้นเลยคะหลวงพ่อ

พระอาจารย์ –  ผีตัวเอง


โยม –  หนูก็ว่าอย่างนั้นนะ   

พระอาจารย์ –  จิตตัวเองน่ะหลอก     


โยม –  ไม่ใช่แบบวิญญาณอื่นมาเข้าสิงใช่ไหม

พระอาจารย์ –  อย่าไปคิดมาก อย่าไปฟุ้งซ่าน   


โยม  ก็พอดูรายการพวกนี้ หนูก็ว่ามันเป็นไปได้ยังไง

พระอาจารย์ –  ทำไม รู้แล้วทำไม 


โยม –  ไม่ คือหนูงงว่า..   

พระอาจารย์ –  งงแล้วทำไม   


โยม –  มีข้อสงสัยไงคะ  

พระอาจารย์ –  แล้วมันจะเข้านิพพานได้มั้ย 


โยม  ไม่ได้ (หัวเราะ) - (โยมคนอื่นบอกว่า – ก็ตัดซะ)  

พระอาจารย์ –  เออ อะไรที่มันรู้ แล้วหายสงสัยกับมัน..แล้วมันเข้านิพพานได้..รู้ไป

แต่ว่าถ้ามันนอกเหนือจากนี่ ...มันไม่เป็นเหตุเอื้อให้เกิดความรู้ความเข้าใจในเรื่องมรรคผลและนิพพาน  ไม่ต้องไปใส่ใจใยดีกับมัน เข้าใจมั้ย  จะเก็บมาเป็นธุระทำไม


โยม –  ไม่ค่ะ คือบางทีเจอเข้าล็อค อย่างน้องสาวเขาไปที่นึง เขาไปดูเรื่องเจ้ากรรมนายเวร เขาบอกว่ามีคนที่รู้เจ้ากรรมนายเวรมีไม่กี่องค์ แล้วกรรมที่เราทำ เราอยากจะรู้ว่าเราทำอะไรผิดหรืออะไรอย่างนี้ ก็คือต้องให้ไปดูกับคนนี้ ต้องให้เขาเปิดว่าเราเคยทำกรรมอะไรเมื่อชาติที่แล้ว เขาก็เลยจะพาเราไปดู  เราก็เลยบอกว่าเราไม่สะดวก

พระอาจารย์ –  คือตัวเองโง่คนเดียวยังไม่พออีกเหรอ ยังจะพาให้คนอื่นมาเติมความโง่ให้เราอีกหรือ ...ทั้งหมดน่ะเป็นเรื่องของจิตหลอกหมด บอกให้

ทั้งหมดนั้นท่านเรียกว่า สีลัพพตปรามาส เป็นความเชื่อแบบลอยๆ เป็นความเชื่อตามประเพณี เป็นความเชื่อตามอย่างที่คนในโลกเขาเชื่อกัน ...แต่ไม่ใช่ความจริง

ให้เชื่อในสิ่งที่มีจริง ปรากฏจริง เกิดอยู่จริง ตั้งอยู่จริง แล้วดับไปจริง ตรงนี้ถึงจะเรียกว่าเป็นความเชื่อที่แท้จริง ...ก็ทำให้เกิดความเชื่ออย่างนี้บ่อยๆ แล้วจะเกิดความเชื่อความเห็นที่เรียกว่า สัมมาทิฏฐิ

ไม่ใช่ไปเชื่อบ้าๆ บอๆ นอกเหนือจากความเป็นจริงที่ปรากฏ เรื่องมันจะเยอะ..ขยะ เข้าใจคำว่าขยะมั้ย เป็นขยะที่มันซ่องสุม...มือหนึ่งก็ปัดออก อีกมือหนึ่งก็โกยเข้ามา ถามว่ามันจะหมดมั้ย

มือซ้ายปัดออก...มือขวาใส่  ขวาใส่ไม่พอ ปากคาบเข้ามาใส่ ตีนก็โกยเข้ามาอีก ...แต่มือซ้ายนี่ปัดออก นิดๆ นิด..นิ๊ดด (โยมหัวเราะกัน) ...มันก็คงหมดชาตินี้ล่ะมั้ง หือ


โยม –  น้องเขาชอบชวน น้องเขาจะชวนไป แต่เรายังปฏิเสธอยู่  

พระอาจารย์ –  ใจแข็งๆ นะ อย่าให้โง่กว่านี้ ...เพราะโง่เท่านี้ก็เหลือทนแล้ว     


โยม –  เหลือทนแล้ว    

พระอาจารย์ –  คือการเกิดมามันโง่อยู่แล้วนะ..ทุกคนน่ะ เราก็โง่ ...แต่จะมาเกิดเพื่อสะสมความโง่ หรือว่าเกิดเพื่อมาลบล้างความโง่ออกไป

เพราะนั้นถ้าเชื่อพุทธะ เชื่อธรรมะ เชื่อสังฆะ...จะฉลาดขึ้น ...ถึงบอกว่าเข้าถึงไตรสรณคมน์ อาศัยไตรสรณคมน์เป็นที่พึ่ง ...ไม่ใช่ไหว้พระแล้วผีไม่เข้า..ไม่ใช่ ไอ้นั่นก็เป็นสีลัพพตะอีกแบบหนึ่ง

ที่ห้อยพระกันเต็มไปหมด เพราะกลัวผี ว่าเข้าถึงพุทธะ เอาพุทธะเป็นที่พึ่ง..บ้ารึเปล่า ...เมื่อวานเราก็พูดแล้วเรื่องพุทธะ ธรรมะ สังฆะ คืออะไร นั่นแหละที่พึ่งแท้จริงคืออย่างนั้น แล้วไม่กลัวตาย  


โยม  หนูก็เชื่ออย่างนั้น  

พระอาจารย์ –  ให้เชื่อให้มากกว่านี้   


โยม –  (หัวเราะ) คือหนูเป็นคนที่ว่า ขี้สงสัย ขี้สงสัยเยอะ 

พระอาจารย์ –  นั่นแหละ คือบอกแล้วไอ้ความเชื่อที่เป็นสัมมานี่ มันเท่าปลายเข็มน่ะ เข้าใจมั้ย ...ถ้าไม่เพิ่มกับมันเยอะๆ แล้วมันจะมากขึ้นมั้ยล่ะ

ก็บอกแล้วว่า มือหนึ่งน่ะปัดออก อีกมือหนึ่งนี่โกยแล้วโกยเล่า โกยแล้วโกยอีก  หูตานี่สาดส่องว่ามีใครจะชวนกูไปดูหมอที่ไหน โหงวเฮ้งมันอยู่ตรงไหน ดูอนาคตให้ แล้วเราจะมีมงคลเพราะทำอย่างนั้น   

อะไรอย่างนี้...เสียเวลา แล้วก็เสียค่าโง่ แล้วก็ได้ความโง่กลับคืนมาทับถม ...คราวนี้พอจะเอาออกก็ติดล่ะ ซ้ายก็ติด ขวาก็ติด หน้าก็ติด ออกไม่ได้แล้ว   


โยม –  มันแกะไม่ออก 

พระอาจารย์ –  กลัว เกิดความกลัว เกิดความกลัวว่า เดี๋ยวจะอย่างนั้นมั้ย เดี๋ยวจะอย่างนี้มั้ย    


โยม  ใช่

พระอาจารย์ –  ลองบอกดิ ให้กลับบ้านแล้วเอาเครื่องรางของขลังทิ้งออกนอกบ้านให้หมด ทิ้งลงน้ำให้หมด กล้ามั้ยล่ะ


โยม –  ไม่กล้า  

พระอาจารย์ –  เออ แต่เราก็ไม่บอกให้ทำหรอก เข้าใจมั้ย ...คือเราเปรียบเทียบให้ฟังว่า..เมื่อพวกเราไปให้ค่าอะไรมากแล้วนี่ เวลาจะสละออกนี่...กลัว ด้วยซ้ำ  


โยม –  ยากด้วย

พระอาจารย์ –  ก็ของดีอ่ะ ทิ้งไม่ได้ ไม่กล้าทิ้ง ใช่มั้ย ก็มันติด ...ไปไหนไม่ได้ ก็มันติดดีนี่แหละ  


โยม  แต่หลวงพ่อครับ เอาความกลัวนี่...สละให้คนอื่นได้นะ (หัวเราะกัน)

พระอาจารย์ –  อือ ก็เหมือนกับไม้ผลัดน่ะ


โยม –  หลวงพ่อคะ แล้วอย่างที่เป็นรูปเหมือนรูปที่ควรบูชานี่ บางทีเป็นรูป...อย่างปฏิทินนี่

พระอาจารย์ –  ก็เผาทิ้งไปเถอะ 


โยม –  ถ้าเราก็คิดว่า เออ มันเป็นกระดาษนี่ ก็ลงไปเลย 

พระอาจารย์ –  อย่าไปคิดมาก ...คือตั้งแต่หลวงปู่มั่น ตั้งแต่หลวงตาบัวแล้ว เข้าใจมั้ย บางคนก็กลัวนะ ถ้ามาเผา ...นั่น เราก็เผาด้วยความเคารพสิ


โยม  สาธุค่ะ 

พระอาจารย์ –  ก็ถ้าไม่เผาแล้วเกิดไปเป็นขยะ จะถูกเหยียบด้วยซ้ำนะ ใช่มั้ย ...ก็เผาด้วยความเคารพซะเลย เผาซะจะดีกว่าให้คนมาเหยียบย่ำ ถ้าเขาไม่นับถือ

แม้จะเป็นรูปพระรูปอะไรก็เถอะ เวลาเผาแล้วถือว่าเราเผาด้วยความเคารพ ไม่ได้เผาเพราะดูหมิ่นหรือว่าเผาเพราะอย่างอื่น 

คือจิตน่ะมันชอบหาเรื่องอยู่แล้ว เข้าใจมั้ย หาเรื่องบุญ หาเรื่องบาปใส่ตัวเองอยู่แล้ว ...แต่ถ้าไม่คิดด้วยอุบายอะไร เผาคือเผา..จบ ไม่รู้สึกอะไรเลยแต่ประการใด คือนั่นแหละจิตหนึ่ง...มีแต่พระอรหันต์น่ะทำได้ 


โยม –  โยมก็คิดว่า เออ ก็เป็นของที่ใช้แล้ว 

พระอาจารย์ –  ดีกว่าเป็นขยะ เข้าใจมั้ย  อย่าให้เป็นขยะ ถ้าเป็นขยะแล้วมันจะถูกเหยียบย่ำ แล้วตัวเองก็จะมีความรู้สึกผิดด้วย เพราะว่าเรายังวางไม่ลง มันจะวางไม่ลง  เพราะนั้น เผาซะ..ด้วยความเคารพ  


(ต่อแทร็ก 9/29  ช่วง 3)



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น