พระอาจารย์
9/15 (551128B)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
28 พฤศจิกายน
2555
พระอาจารย์ – ฝึกสติ รู้ตัวในปัจจุบันนั่นแหละ อย่างเดียว
ให้มากที่สุด
นิดนึงก็ไม่เอา หน่อยนึงก็ไม่เอา...ในความคิดที่มันไหลออก มันจะแนะอะไรล่ะ ไปมา ...นอกจากกิจธุระจำเป็นที่จะต้องทำจริงๆ
ก็ทำด้วยความตั้งอกตั้งใจทำ มีสติกำกับ ในการคิด ในการนึก
แล้วก็หยุด ...เมื่อมันถึงเวลาหยุด...ต้องหยุด เวลากลับมาแล้วก็ต้องหยุด ออกจากที่แล้วต้องหยุด ... อย่าให้มันวนเวียน ซ้ำซาก อย่าให้มันไปจม จนเป็นปลักเป็นหล่ม เป็นตม เป็นโคลน
เดี๋ยวจิตมันจะกลาย... คือ "เรา" ก็จะกลายเป็นควาย ที่ไปจมปลัก จมโคลน เลอะเทอะ เปรอะ แปดเปื้อนอยู่กับมัน
ในความที่ไม่มีอะไรเป็นสาระ
ใช้ความคิด ใช้ความจำ
ด้วยการตั้งใจมั่น ด้วยตั้งใจรู้ ด้วยตั้งใจกำกับด้วยสติอยู่เสมอ ... เพราะอะไร ...เพื่อให้ว่าเวลาละ เวลาหยุด จะได้หยุดได้ วางได้ ปล่อยได้
เพราะว่าระหว่างทำมันมีความรู้ตัว คอยกำกับอยู่ คอยรู้...ว่ากำลังคิดอยู่นะ
กำลังทำอะไรอยู่นะ กำลังไปไหนมาไหนอยู่ ในกิจการที่ต้องทำอะไรเพื่ออะไร ในการดำรงชีวิต ...เนี่ย ให้มันเป็นไป
ก็ไม่ได้หมายความว่าจะหยุด
หรือสตาฟตัวเอง ให้เหมือนกับหุ่นขี้ผึ้งหรือรูปปั้น หรือสตาฟจิตให้เป็นหินนิ่ง...ไม่ใช่ แต่เมื่อถึงคราวต้องหยุด...ต้องหยุดจริงๆ อยู่กับอิริยาบถ...ก็อยู่กับอิริยาบถจริงๆ
งานทั้งหลายทั้งปวง กิจทั้งหลายทั้งปวง อดีตอนาคตทั้งหลายทั้งปวง วางไว้ก่อน
วางไว้ ผ่อนคลายออกไป ...อย่าเอามาเป็นธุระ หรือเอามาเป็นเครื่องขัดขวาง
เป็นเครื่องกังวล เป็นปลิโพธ
(หมายเหตุ : ปลิโพธ = เครื่องผูกพันหรือหน่วงเหนี่ยวเป็นเหตุให้ใจพะวักพะวนห่วงกังวล,
เหตุกังวล, ข้อติดข้อง)
เวลายืนเดินนั่งนอน
ด้วยความตั้งอกตั้งใจที่จะรู้แค่ยืนเดินนั่งนอน ก็ต้องรู้แค่ยืนเดินนั่งนอนจริงๆ
อย่างนี้ ...สร้างนิสัยความไม่ออกนอกองค์มรรค ไม่ออกนอกศีลสมาธิปัญญาไว้เป็นประจำ
ท่านถึงเรียกว่าเป็นนิจศีล ศีลจึงเป็นนิจ คือความต่อเนื่อง ไม่ขาดสาย ไม่ขาดระยะ ... สมาธิก็บังเกิด ปัญญาก็บังเกิด เมื่อมันถึงความสมดุลพอดีพร้อมพอกันแล้ว ... นี่
ความเป็นมรรคสมังคี
คือมันจะแยกไม่ออกเลยระหว่างศีลสมาธิปัญญาคืออะไร ศีลคืออะไร
สมาธิคืออันไหน ปัญญาคืออะไร ...คือดูตรงไหนมันใช่หมดเลย ไม่ว่าจะเรียกว่าศีล
ไม่ว่าจะเป็นสมาธิรึเปล่า ไม่ว่าจะมีปัญญามั้ย มันแยกไม่ออก
มันเป็นพร้อมกันตรงนั้นแหละ เรียกว่ามันรวมตัวกันเป็นเนื้อหนึ่งใจเดียวสมานกัน
ด้วยความที่ว่าไม่มีแบ่งว่าเป็นสมถะ ไม่แบ่งว่าเป็นปัญญา ไม่แบ่งว่าเป็นศีลสมาธิ ...มันเป็นสมังคีรวมตัวกัน
นั่นน่ะเขาเรียกว่าประสาน ใจมันประสานคืนสู่สภาพที่เป็นตัวใจรู้ใจเห็น นี่ ตัวของมันเองจริงๆ ...คือมันพรั่งพร้อมด้วยศีลสมาธิปัญญาตามภาษาตามบัญญัติเลยน่ะ ...เหมือนกับว่าไอ้ศีลสมาธิปัญญานี่คือตัวบัญญัติภาษานะ
แต่ตัวใจรู้ใจเห็นจริงๆ นั่นน่ะคือตัวศีลสมาธิปัญญาตัวแท้เลย ...ลักษณะ คุณสมบัติ คุณลักษณะของใจนี่ล่ะ
คือคุณลักษณะของศีลสมาธิปัญญาเลย
มีทั้งความตั้งมั่น มีทั้งความเป็นกลาง
มีทั้งความรอบรู้ มีทั้งความชัดเจน มีทั้งความธรรมดา มีทั้งความไม่เป็นสุข
มันครบในองค์ศีลสมาธิปัญญา
ที่กว่าจะเรียนรู้ในคำว่าศีลสมาธิปัญญา
ต้องอาศัยความตรากตรำ บากบั่น พากเพียร ลองผิดลองถูกมา แล้วค่อยๆ
มาสังเคราะห์รวมตัวกัน จนเป็นหนึ่งเดียวกัน
มันเข้าใจว่าเมื่อถึงใจแล้ว ภาวนาถึงกายแล้วก็ภาวนาถึงใจแล้วนี่ เมื่อถึงใจแล้วจะรู้เลยว่า...ใจนั่นแลคือความหมายของคำว่าศีลสมาธิปัญญา
ไอ้ที่เคยทำมาอย่างนู้น อย่างนี้ อย่างนั้น มันยังเป็นรอบนอก เป็นแค่เครื่องสนับสนุนส่งตรงเข้ามา...ตรงที่ใจดวงเดียวเท่านั้นเอง
เพราะนั้นว่าการภาวนาก็ทำให้มันกำชับ ให้มันอยู่แวดวงปัจจุบัน
ให้มันอยู่ในแวดวงกายใจปัจจุบัน ให้มันสั้นลง ให้มันลดอาณาบริเวณของการภาวนา ของจิตที่มันส่ายไปทั่ว
จนเป็นหนึ่ง ...หนึ่งคือหนึ่ง ไม่ใช่หนึ่งงงง
หนึ่งงงง หนึ่งนั้นมันหนึ่งไม่จริง หนึ่งก็คือหนึ่ง ไม่มีจุดทศนิยม
หนึ่งคือหนึ่งรู้หนึ่งเห็น หนึ่งกับสิ่งที่ถูกรู้ หนึ่งกับสิ่งที่ถูกเห็นนั้นจริงๆ
ไม่มีอุปาทานขันธ์ซ้อนขึ้นมา แม้แต่นิดนึง...ก็ อ้อ เห็นแล้ว นั่นน่ะ มหาสติ แม้แต่นิดนึงที่มันซ้อนขันธ์จริงขึ้นมานี่ มันก็เห็นทัน เห็นแล้วก็ละ
เห็นก็แล้วดับ เห็นแล้วก็สลาย
เห็นแล้วก็ถูกแผดเผาไปด้วยอำนาจของใจ
อำนาจของศีลสมาธิปัญญา จนมันไม่สามารถจะมาปิดบังครอบคลุม ครอบงำ หรือทำให้เกิดความคลาดเคลื่อนไปจากธรรมที่ปรากฏอยู่ต่อหน้าต่อตามันไป
เพราะนั้นเรื่องที่เรียนรู้ เรื่องที่พวกเราจะได้ยินนี่
มันเยอะ หลายคนหลายความคิด หลายผู้ปฏิบัติก็หลากหลายไปหมด คนนั้นคนนี้
อาจารย์องค์นั้นอาจารย์องค์นี้ ตีกันเละเทะไปหมด
แต่ถ้าออกมาเป็นลำพังแล้วนี่ ก็ไม่ต้องไปหาตำรา
ไม่ต้องไปหาเพื่อนผู้ปฏิบัติคอยค้ำจุน คอยชี้ทาง ไอ้คอยชี้ทางกันไปชี้ทางกันมาน่ะ
มันพาลงหล่ม ลงตม ลงโคลนโดยไม่รู้ตัวเลย
ไปลำพังน่ะ กายใจเปล่าๆ นี่แหละ ...อยู่กับความรู้ตัว แก้ทุกอย่าง แก้ปัญหาทุกอย่างด้วยการรู้ตัว ไม่แก้ด้วยความคิด
ไม่แก้ด้วยการหา การค้น การถาม ไม่แก้ด้วยการกลบ หาอารมณ์ สร้างอารมณ์อื่นมาปิดบัง มาบิดเบือน
แก้มันตรงๆ ด้วยการรู้ตัวลงไปตรงๆ มันออกมาจะข้างๆ คูๆ คดๆ
เคี้ยวๆ เลี้ยวลดออกมา หรือจะชักนำชักจูงออก ก็แก้ด้วยการใช้สติ
แล้วก็ระลึกขึ้นอยู่กับตัว ด้วยการรู้อยู่กับตัว...รู้อยู่กับตัว
มันจะอึดอัด มันจะคับข้อง มันจะไม่จบ
มันจะยังไม่สิ้น...ก็อยู่ตรงที่รู้ตัวอยู่ มันยังมีอะไรวนเวียนๆ อยู่ตรงนั้น
คอยลากคอยจูง คอยดันคอยดึงอยู่...ก็อดทน ต้องอด...อดทน
แล้วก็ทนแล้วก็อด
อยู่อย่างนั้นแหละ เพื่อให้กลับมารู้ตัวได้ด้วยความปลอดโปร่ง ...เมื่อใดที่มันอดทนรู้ตัวไป มันก็จะเกิดภาวะที่ตามมา...เป็นผลตามมาเอง
คือว่าการรู้ตัวนั้นมันจะรู้ตัวด้วยความปลอดโปร่งโล่งเบา
แปลว่าอะไร ...แปลว่าเหล่าอุปาทานขันธ์ที่เกิดจากการน้อมนำขึ้นมาของจิตผู้ไม่รู้
มันเริ่มหมดเหตุปัจจัยไป สลายไป
เหมือนไฟน่ะ ไฟที่มันลุกขึ้นมานี่ ถ้าไม่มีใครผู้ใดผู้หนึ่ง เอาเชื้อเพลิงไปเติมมันน่ะ ...ไฟกองนั้น มันจะมีอายุของมัน
มีความมอดไหม้ในตัวของมันเอง จนหมดจนสิ้นไปในลำพังของมันเอง
เฉกเช่นเดียวกัน เมื่อใดที่เราตั้งหน้าตั้งตาทำความรู้ตัวอย่างเดียว
ก็เหมือนกับรามือราตีนที่จะยื่นไปหยิบเชื้อเพลิง
หรือว่าเศษวัสดุอุปกรณ์อะไรที่เป็นเชื้อไฟ แล้วก็โยนเข้าไปในกองไฟกองนั้นๆ
ไฟมันก็ยังไม่ดับหรอก เพราะเราไม่ได้เอาน้ำไปรด ไม่ได้เอามือยื่นไป
มือที่ยื่นไปตักน้ำราด ก็ไม่ยื่น มือที่ยื่นไปเอาเชื้อเพลิงใส่ไฟ ก็ไม่ยื่น ...เพราะตั้งหน้าตั้งตาเอามือนั้นมาชี้ตรงแน่วแน่อยู่กับตัว คือรู้ตัวนี่
ไฟกองนั้นน่ะ ...ไม่ว่ามันจะกองลุกท่วมตัวท่วมบ้านท่วมโลกท่วมจักรวาล หรือว่าเป็นไฟเล็กไฟน้อยที่พอให้หงุดหงิดงุ่นง่าน อึดอัด คับข้อง เนี่ย ไฟทั้งนั้นน่ะ ...มันก็ดับ มันก็ดับของมันเองนั่นแหละ
มันก็มอดไป
แต่ว่าความมอดของไฟเหล่านี้ของพวกเรา
มันยังไม่เป็นสมุจเฉท มันก็เหมือนกับมันยังมีเชื้ออยู่ ตกค้างอยู่ ...แต่ว่ามันไม่ถึงกับไหม้ จนเกิดความเร่าร้อน รุ่มร้อน
เนี่ย มันก็สงบ
มันก็เกิดความปลอดโปร่งขึ้นได้ ในขณะทำความรู้ตัวต่อไป และต่อไปเมื่อทำอย่างนี้บ่อยๆ
ไอ้ไฟที่มันยังตกค้าง ที่มันยังไม่ดับไปนี่ มันก็เริ่มซาลง
เพราะอะไร
เพราะไอ้ไฟนี้มันเนื่องมาจากอดีต เนื่องมาจากภพอดีตที่มันคอยสุมไว้ มันก็ลุก ทั้งๆ
ที่ไม่มีเชื้อก็ดูเหมือนมันยังลุก ยังไหม้อยู่ ...แต่ว่าไม่โหมกระพือขึ้นน่ะมันก็จะเย็นลงในระดับนึง
เพราะนั้นไอ้ไฟทั้งหลายที่มันลุกอยู่นี่ ที่มันล้อมรอบใจรู้ใจเห็น หรือว่าดวงใจผู้บริสุทธิ์อยู่นี่ ...ใจนี่เย็น เหมือนน้ำแข็ง
ใจเป็นธาตุเย็น ธาตุสงบ ธาตุดับ ธาตุที่ไม่ก่อเกิดใดๆ ในนั้นได้
มันมีความเย็นในตัวของมัน
แต่เพราะไฟที่ห่อหุ้มมัน จึงไม่สามารถเข้าไปสัมผัสถึงความเย็นของธาตุใจของธาตุรู้ได้ ...แต่เมื่อใดที่ไฟเริ่มซาเริ่มหมด เริ่มไม่มีใครเอาเชื้อเพลิงไปสุมไปเผามันแล้วนี่
มันก็จะบังเกิดความสงบร่มเย็นภายในขึ้นมาเอง
ดูเหมือนมันบังเกิดขึ้นมาเอง ดูเหมือนว่าไม่ต้องทำอะไร
มันก็มีความสงบร่มเย็นในตัวของมันเอง เพราะว่าธาตุใจนี่ มันออกจากไฟที่ห่อหุ้มมัน
เหมือนกับมีน้ำแข็งอยู่ก้อนนึง ถ้าจุดไฟไว้รอบน้ำแข็งก้อนนั้น
มันจะรู้สึกว่าเย็นหรือรู้สึกว่าร้อน ยังไงก็ต้องร้อน ...แต่เมื่อใดไฟนั้นราลงนี่
เมื่อเข้าใกล้ไฟนั้นก็จะรู้สึกเย็นมากกว่าร้อน นั่น เมื่อไม่มีไฟ
ถ้าเป็นพระอรหันต์นี่หมายความว่าไฟนี่มอดหมดแล้ว ยังไงก็เย็น ต่อให้โยนเชื้อเพลิงเข้ามา ต่อให้มีจิตอีกจิตนึงเข้าไปสร้างเชื้อเพลิงอะไรขึ้น มันก็ไม่มีคำว่าลุกไหม้ เพราะว่าไฟมันมอดหมดแล้ว มันสิ้นแล้ว
แต่ของพวกเรานี่มันยังไม่สิ้น มันยังไม่มอด มันยังไม่เป็นสมุจเฉท
มันก็แค่ซาลงมาก่อน ...เนี่ย ตรงนี้ ไอ้ตัวที่คาอยู่นี่คืออวิชชา
ตัณหา แต่ในอดีตที่มันเคยไปสะสมไว้มากมาย
และมันก็พร้อมที่จะลุกไหม้ขึ้นได้ทุกเวลา
โดยไม่เลือกกาลเวลา ...กิเลส อวิชชา ตัณหา ไม่เลือกกาลเวลา ขนาดนอนหลับไม่รู้เนื้อรู้ตัว ฝันแล้วยังเกิดอารมณ์ได้ ฝันแล้วยังโกรธ ยังกลัวได้
เห็นมั้ย
มันไม่เลือกเวลาว่ารู้ตัวหรือไม่รู้ตัว มันเกิดความรุ่มร้อนเร่าร้อนขึ้นได้ตลอดเวลา ...เพราะนั้นไฟกิเลส ไฟราคะ ไฟโทสะ ไฟโมหะนี่ มันยังสุมรุมอยู่ภายในนี่ อยู่ตลอด
อาศัยที่ว่า อดทน ยังไงก็ต้องอดทน ...ที่จะไม่ไปคว้า ไปจับ ไปต้อง หรือไปเพิ่ม ไปลด ไปเปลี่ยนแปลงมัน
แม้กระทั่งจะไปดับมันด้วย...ไม่เลย
เอาจนมันหมดเชื้อมอดไหม้ในตัวของมัน จนหมดไม่เหลือเชื้อของมันนั่นแหละ ...เรียกว่ามันจะต้องผูกตายขายขาดอยู่กับศีลสมาธิปัญญาแบบจริงๆ จังๆ อย่างยิ่งเลยน่ะ
แล้วก็จะเข้าใจเองว่า อ้อ นี่ดับไปแล้ว ...คือไอ้ไฟเหล่านี้มันก็จะดับเป็นหย่อมๆๆๆ
ไป ...อันไหนดับแล้วอันนั้นดับเลย
แต่ถ้ามันดับจริงนะ มันจะรู้เลยว่ามันดับแล้วดับเลย
หมายความว่ามันไม่มีเชื้อ มันไม่มีสะเก็ด มันไม่มีทางที่จะลุกจะไหม้ด้วยเชื้อเพลิงใดเชื้อเพลิงหนึ่งแต่ประการใด
เนี่ย มันก็จะหายไปเป็นหย่อมๆๆๆ ไปก่อน แล้วความโล่ง ความโปร่ง ความเบา ความเย็น ความสงบ
ความไม่เป็นทุกข์ภายในมันก็บังเกิด
เหมือนกับอานุภาพของใจก็แผ่ขยายออกมา ให้ทั้งตัวคนนั้นทั้งตัวขันธ์นั้น
แม้คนรอบนอกก็ยังสามารถรับรู้ได้ สัมผัสได้กับความเย็นนั้นๆ
ความสงบร่มเย็นนั้นๆ ความบริสุทธิ์นั้นๆ ที่แผ่ออกไป
เพราะไอ้สิ่งที่หุ่มหุ้มล้อมรอบมันด้วยไฟ
คือราคะ โทสะ โมหะ มันหมด มันก็เปิดช่องให้อานุภาพของใจ
หรืออานุภาพของความเย็นที่มาจากธรรมชาติที่แท้จริงของใจ
มันก็แผ่ออกมาในช่องในร่องนั้นไป
แล้วก็เพียรอยู่ในที่ตั้งที่มั่นรู้ตัวไป
อยู่ตรงที่ใจรู้ใจเห็นนั่นแหละ ไปเรื่อยๆ กิเลสมันก็จะค่อยๆ มอด สิ้นไป ...แล้วก็คอยอดกลั้นอดทนต่อจิตที่มันจะเข้าไปควานไปค้นหาอะไรมาเป็นเชื้อเพลิงให้เกิดความไม่จบและสิ้น
คือมันจะให้ไฟลุกไหม้ต่อโชติช่วงชัชวาลชั่วนาตาปี
เนี่ยเป็นไฟกิเลส ไม่ใช่ไฟแห่งปัญญา ไม่ใช่แสงสว่างแห่งปัญญา มันคนละกองกัน
มันไม่เหมือนกัน ...ถ้าแสงสว่างที่เกิดจากปัญญามันเกิดจากใจ
แต่แสงสว่างที่เกิดจากไฟมันเกิดจากราคะ โทสะ โมหะ แล้วก็เป็นตัวชี้นำ ให้เกิดความเร่าร้อนต่อเนื่องกับสัตว์บุคคลอื่น กับวัตถุข้าวของอื่น
กับอดีตอนาคตต่อไป
เห็นมั้ย
ไฟจากกองไฟมันก็มีแสง แสงเพลิงอย่างนี้ แต่มันเป็นแสงสว่างที่จะชี้นำให้ไปเผาไหม้เผาลนต่อไปข้างหน้า
แล้วก็ไปไหม้ผู้อื่นและภายนอกออกไป
แต่ไฟสว่างด้วยปัญญา มันสว่างโดยที่ไม่ได้เกิดจากราคะ
โทสะ โมหะ มันเป็นความสว่างจากใจรู้ใจเห็นนี่ มันจะนำทางไปสู่มรรคผลและนิพพาน
คือความหลุดและพ้นจากสิ่งต่างๆ ที่เกิดจากความไม่รู้ไม่เห็น
ก็เพียร ทำความรู้ตัวอยู่กับปัจจุบัน ...จะเป็นอะไร จะเป็นความรู้สึกในส่วนใดส่วนหนึ่งในกายปัจจุบันนี้ได้หมด
จะเป็นลมหายใจก็ได้ จะเป็นความรู้สึกในรูปกายที่นั่งก็ได้ จะเป็นเวทนา ความตึง
ความแน่น
อะไรก็ตามที่มันปรากฏชัดเจนอยู่ในปัจจุบันกายนี้ ก็รู้ ก็หยั่ง
ก็เห็น หยั่งรู้หยั่งเห็นลงไป...ซ้ำซาก ...จนจิตมันหลบลี้หนีหน้าหายไป จน “เรา”
มันหลบลี้หนีหน้าหายไป
บางครั้งที่เราหยั่งรู้หยั่งเห็นอยู่ในกายเฉยๆ
ขณะที่นั่งอย่างเดียวนี่ จนบางครั้งมันเกิดความรู้สึกขึ้นมาด้วยตัวเองก็ได้ว่า
“ตัวเราไปไหนวะนี่” บางทีมันเหมือนไม่มีตัวเราตรงนี้เลย ก็เกิดความรู้สึกอย่างนั้นขึ้นมา
มันก็จะเข้าใจด้วยตัวเองขึ้นว่า
แค่รู้ตัวอยู่แค่นี้ ทุกอย่างมันจะเปิดเผยความเป็นจริงขึ้นมาเอง
เพราะธรรมอยู่ที่นี้ ธรรมอยู่ตรงนี้ ธรรมอยู่เดี๋ยวนี้ ถ้าอยู่ที่นี้แล้วมันไม่เห็นความเป็นจริงก็ไม่เรียกว่าเป็นธรรมแล้ว
เพราะนั้น ธรรมเขาก็จะเปิดเผยขึ้นมา...จากที่ไม่เคยเข้าใจก็จะเข้าใจ
จากที่ไม่เคยเห็นก็จะเห็น จากที่ไม่เคยชัดเจนก็จะชัดเจน เพราะธรรมนั้นอยู่ เขาแสดงตัวอยู่ตลอดเวลา
ก็ค่อยๆ ลึกซึ้งแยบคายในตัวของมันเองขึ้นตามลำดับ ...จากที่เคยต้องวิ่งตาม
ต้องวิ่งคว้า ต้องวิ่งไล่จับ ต้องขวนขวายหาธรรมมานี่ ...มันก็จะหยุดไปโดยปริยาย
จิตมันก็อ่อนกำลังลง
เพราะว่าไม่ให้กำลังจิตด้วยความอยากและความไม่อยากอีกต่อไป ...เพราะมันรู้สึกว่าอยู่ตรงนี้เฉยๆ มันก็เข้าใจเองแล้วนี่ ไม่เห็นจะต้องไปหาอะไรเลย
ไม่เห็นต้องไปทำอะไรเพิ่มขึ้นมาอีกเลย
จิตมันก็จะถูกใช้น้อยมากด้วยเจตนา
ด้วยความจงใจ ด้วยความอยากรู้อยากเห็น ด้วยความอยากได้ ด้วยความอยากมี
ด้วยความอยากเป็น ด้วยความไม่อยากได้ ไม่อยากมี ไม่อยากเป็น
พวกนี้มันก็จะหมดผู้เข้าไปเรียกหาใช้สอยกับมัน ...จิตมันก็จะค่อยๆ
ง่อยเปลี้ยเสียขาลงไป มันก็อยู่ในที่ที่มันตั้งมั่นอยู่ในที่อันเดียว
ทุกอย่างก็ยิ่งชัดเจนในตัวของมันมากขึ้นไป
เห็นมั้ย ศีลสมาธิปัญญามันเกื้อกัน
มันเป็นเนื้อหนึ่งใจเดียวกัน ประสานกันแบบ all for one น่ะ มันเป็นอย่างนั้น ทุกอย่างรวมลงเป็นหนึ่ง
แล้วก็หนึ่งได้ด้วยศีลสมาธิปัญญานั่นเอง
จนเป็นหนึ่งถึงที่สุด เรียกว่า อธิศีล
อธิจิต อธิปัญญา นั่นคือความหมายของคำว่าที่สุดของศีลสมาธิปัญญา...ก็คือใจรู้
ใจผู้รู้ผู้เห็นดวงเดียวนั่นเอง เป็นที่ตอบโจทย์ได้ทั้งหมดทั้งสิ้น
เพราะนั้นการภาวนา ถ้าถึงใจแล้วนี่
ไม่มีปัญหา เพราะปัญหามันอยู่ที่จิตออกไป ...แต่ถ้าอยู่ที่ใจแล้วจะไม่มีปัญหาเลย
แม้แต่นิดเดียว
เห็นมั้ยว่าใจที่มันเต็มเปี่ยมด้วยศีลสมาธิปัญญาด้วยตัวของมันเอง
มันจะไม่มีปัญหาขัดข้องแต่ประการใด แม้แต่จุดทศนิยมของสงสัยยังไม่มี ไม่สามารถจะหลุดเล็ดลอดออกไปได้
แม้แต่ขณะจิตนึง
อณูนึงของจิตนึง ปรมานูนึงของจิตนึง
ก็ยังไม่สามารถไปก่อเกิดเป็นความคิด เป็นความเห็น ไปก่อเกิดเป็นความสงสัย
เป็นเราลังเล ไปก่อเกิดเป็นเวล่ำเวลา ไปก่อเกิดเป็นอดีตเป็นอนาคตได้เลย
ตาย ...จิตก็ตายไป
ค่อยๆ ตายไป เมื่ออยู่ที่นี้ที่เดียว
ประมวลรวมแล้วนี่
เห็นมั้ยว่าการภาวนานี่ไม่ใช่ของยาก ทุกคนมีอุปกรณ์อยู่แล้ว ใช้ไม่เป็นเท่านั้นเอง ...ครูบาอาจารย์ก็มาสอนให้รู้จักใช้อุปกรณ์ให้เป็น ว่าอันนี้ควรทำอย่างนี้
อันนั้นควรทำอย่างนั้น
น้ำปลาไว้ใส่เมื่อต้องการเค็ม น้ำตาลก็ใส่เมื่อต้องการหวาน
ไม่ใช่ว่าใช้ผิดที่ผิดทาง มันไม่ถูกที่ไม่ถูกทางรสชาติก็ไม่เป็นสัปปะรด
ผลของการภาวนามันก็ไม่เป็นสัปปะรดขึ้นมา
เพราะว่ามันใช้เครื่องปรุงเครื่องประกอบนี่ไม่ถูก ใช้ไม่เป็น
ใช้แบบครูพักลักจำบ้าง คิดเอาเองบ้าง หรือไปคาดคะเนเอาเอง
หรือว่าไปฟังจากคนที่ไม่ได้เป็นพ่อครัวจริง
แต่เสกสรรปั้นแต่งตัวเองเป็นพ่อครัวหัวป่าก์
รสชาติออกมามันก็ผิดมนุษย์มนาไป
ผิดประหลาดมหัศจรรย์ไป แปลกประหลาดไปแบบคนเขากินกันไม่ได้
มันก็กินได้เป็นหมู่พวกกันเองเท่านั้นเอง
แต่ว่าธรรมนี่ต้องเป็นรสชาติเดียวกัน
รสชาติเหมือนกัน ... ถ้าเป็นเกลือก็ต้องเค็ม หมายความว่าเกลือที่ไหนก็ต้องเค็ม
มันรสชาติเดียวกัน
พระพุทธเจ้าถึงเปรียบว่า ธรรมนี่เป็นหนึ่งนะ
ธรรมนี่เหมือนกับน้ำในมหาสมุทร น้ำทุกหยดต้องลงมหาสมุทร อย่างนั้นเอง
แล้วในมหาสมุทรนั้นน่ะ ไม่ว่าจะเป็นของเน่า ของเสีย ของสวย ของงาม ของบูด ของดี
ของไม่ดี ทุกอย่างจะถูกมหาสมุทรพัดเกยตื้นหมด
มหาสมุทรคือมหาสมุทรแห่งใจ
ไม่มีอะไรเจือปน แอบแฝงอยู่ในใจนั้นอีก ต้องคัดกรองออกจนหมดจนสิ้นนั่นเอง
ธรรมต้องมีรสชาติเช่นนั้นเช่นเดียว ไม่ใช่ว่า บางเจ้าเค็ม บางเจ้าหวาน
บางเจ้าปะแล่มๆ บางเจ้าหวานเจี๊ยบ อะไรอย่างนั้น
มันทำไมถึงเกิดความแตกต่างของรสชาติแห่งพระธรรมได้
ตราบใดที่ยังไม่หยั่งเข้าไปจนถึงรสชาติของศีลที่แท้จริง
ยังไม่หยั่งถึงรสชาติของสมาธิที่แท้จริง รสชาติของปัญญาที่แท้จริง
มันจะไม่เข้าไปถึงรสชาติของธรรมที่แท้จริง
เห็นมั้ย รสชาติมันมีหลายรสชาติ
แค่ศีลก็มีหลายรส แค่สมาธินี่ก็มีตั้งหลายรสชาติ สงบบ้าง สงบขั้นละเอียดประณีต
ขั้นอย่างนู้นขั้นอย่างนี้ แบบนิ่งเหมือนไม่ไหวติงไม่ขยับเขยื้อน
ฟ้าผ่ายังไม่รู้สึก
เห็นมั้ยความสงบนี่มันก็มีหลายรสชาติเลย ...แต่สงบของสัมมาสมาธิล่ะ
สงบคือต้องรสชาติของสัมมาสมาธิ
ทุกอย่างนี่จะเป็นตัวตัดสินเองว่า
ที่พระพุทธเจ้าว่า ตรงต่อศีล ตรงต่อสมาธิ ตรงต่อปัญญา ตรงต่อมรรคผลและนิพพานนั้น
อย่างไรจึงเรียกว่าเป็นรสชาติที่แท้จริงของศีลสมาธิปัญญา
เพื่อให้เกิดรสชาติที่กลมกล่อมของธรรมที่เป็นกลาง ที่เป็นความบริสุทธิ์
ที่เป็นความพอดี ที่เป็นความที่ว่าไม่ขาดและเกิน นั่นแหละ
เพราะนั้นถ้าพระอรหันต์ พระอริยะ
ท่านเข้าไปตรงต่อรสชาติของศีลสมาธิปัญญาเมื่อไหร่ รสชาติธรรมจะเป็นรสชาติเดียวกัน ...ต่อให้เดินด้วยวิธีการใดก็ตาม การพูดการคุยจะไม่ขัดแย้งกันเลยในเรื่องของธรรม
แต่ความเห็นในโลก ความเห็นในการใช้ชีวิต ในการประกอบกระทำกิจกรรม
พฤติกรรมทางกายวาจานี่ไม่เหมือนกัน ผิดกันได้ เถียงกันยังได้เลย ไม่มีปัญหา
แต่รสชาติของธรรมนี่เป็นเนื้อเดียวกัน เป็นรสชาติเดียวกัน
พอเข้าถึงธรรม พูดถึงเรื่องธรรม
รสชาติของธรรมแล้วนี่ ทุกอย่างสลายหมด ทุกอย่างเป็นแค่สมมุติเท่านั้น แล้วก็อุปนิสัยแล้วก็วาสนา ...แต่ถ้าพูดถึงธรรมแล้ว จบ จบเลย ปิดฉากเลย
เพราะนั้นท่านง่าย โลกก็ง่าย
ธรรมก็ง่าย เห็นมั้ย มีปัญหาขนาดไหน เอาธรรมเป็นที่สรุปแล้วจบหมดเลย ภายนอกก็จบ
ภายในก็จบ สงบนิ่งเป็นกลาง เหมือนเดิม เท่านั้นเอง
เอาแล้ว พูดซะยืดยาว
ก็แค่รู้ตัวนั่นเอง
กายเดียวใจเดียว ...ตัตถะๆ วิปัสสติ
ที่นี้ที่เดียว วิปัสสติจึงจะเกิดขึ้น วิแปลว่าแจ้ง ปัสสติ รู้ตัวซ้ำซาก ย้ำๆ
ลงไปจนเกิดความชัดเจน นั่นแหละเรียกว่า ตัตถะๆ วิปัสสติ ขึ้น ณ ที่นี้ กายใจนี้
ที่เดียว
ก็บังเกิดผล คือความหลุดพ้นจากขันธ์และโลก นั่นก็คือผล หลุดพ้นออกจากอุปาทานทุกข์ ...ซึ่งไม่ใช่หลุดพ้นจากทุกขสัจ นั่นจะหลุดพ้นต่อเมื่อเหตุปัจจัยนั้นจบอีกทีนึง
มันก็จะเข้าใจแล้วก็ยอมรับกับทุกขสัจ ...แต่ไม่ยอมรับทุกข์อุปาทาน
หมายความว่าไม่ยอมให้ทุกข์อุปาทานนั้นเกิดขึ้นด้วยความไม่รู้อีกต่อไป ...ท่านจึงข้ามพ้นทุกข์ด้วยประการฉะนี้
ส่วนทุกขสัจท่านจะไปข้ามต่อเมื่อหมดอายุขัยอีกทีนึง
ขันธ์ห้าก็หมดวาระตรงนั้น จิตก็หมดภาระตรงนั้น ใจก็หมด
คืนสู่สภาวะที่จะต้องมาจำอยู่กับวิบากขันธ์โดยปริยาย
มันก็หมดความเกาะกุมได้อีก
เป็นอิสระร้อยเปอร์เซ็นต์
แต่ก็เป็นอิสระ99.99 เปอร์เซ็นต์ตั้งแต่ท่านเข้าใจหมดแล้ว ...เหลืออีกจุดหนึ่งเปอร์เซ็นต์ก็คือวิบากยังต้องเสวยขันธ์นี้อยู่เท่านั้นเอง
เอ้า ...ไปทำกัน
.....................................