วันพฤหัสบดีที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

แทร็ก 9/2





พระอาจารย์

9/2 (550923B)

(แทร็กต่อ)

23 กันยายน 2555


พระอาจารย์ –  ปัญญานี่มันเห็น แล้วมันละ...ละของที่ไม่จริงออก ... เพราะอะไร  เพราะ “กายเรา” นี้เป็นสาเหตุ ให้เกิดกิเลสน้อยและใหญ่  ถ้าไม่มีเรา ถ้าไม่มีกายเรา จะไม่มีใครโกรธ  ถ้าไม่มีเรา ถ้าไม่มีกายเรา จะไม่มีใครดีใจ  ถ้าไม่มี “เรา” จะไม่มี...เราอยากหรือเราไม่อยาก เนี่ย มันจะเห็น

เมื่อมันเห็นแล้วมันจะเอาไว้ทำไม  มันเห็นแล้วมันจะเก็บไว้ทำซากหรือไง มันละทันที ... จิตเขาละเอง...ไม่ใช่ “เรา” เข้าไปละ “เรา”  ไม่ได้เอา “เรา” ไปละ “เรา”  แต่จิตเขาเห็นเอง ด้วยความตรง ชัด เป็นกลาง แล้วเขาเข้าใจเองเป็นปัจจัตตัง เขาก็ละ เขาก็วาง เขาก็คลายออกไปตามลำดับ

จนเหลือกายที่ไม่มีมลทิน คือกายยืน เดิน นั่ง นอน เปล่าๆ ... นั่นเรียกว่า ศีลวิสุทธิ นั่นเรียกว่า กายวิสุทธิ ... ไปตามลำดับ กายก็บริสุทธิ์ขึ้น ปราศจากมลทินขึ้น  มีกายเดียว เที่ยวไปทั่วสามโลก โดยไม่มีปัญหา เพราะมีเพียงแค่กายเดียว

แล้วกายเดียวที่ปรากฏนั้นจึงเรียกว่าเป็น ทุกขสัจ ... ทุกข์จึงเหลือแค่หนึ่ง ไม่มีสองทุกข์ ไม่มีสามทุกข์ สี่ห้าทุกข์ ร้อยทุกข์หรือว่าทุกข์จนนับไม่ถ้วน  เพราะมีทุกข์ตามความเป็นจริงเพียงทุกข์เดียว เรียกว่าทุกขสัจ

แข็ง รู้สึกแข็งมั้ย...พื้น  อาการที่ปรากฏของแข็งนี่ ... อยากแข็งมั้ย แล้วอยากให้มันแข็งน้อยลงมั้ย


โยม –  ไม่ครับ

พระอาจารย์ –  จะอยากหรือไม่อยากก็ตาม มันก็ยังแข็งอยู่เท่านี้


โยม  ก็ยังอยู่เท่านั้น  

พระอาจารย์ –   เลี่ยงได้มั้ย 


โยม –   ไม่ได้  

พระอาจารย์ –  สั่งได้มั้ย ควบคุมได้มั้ย  


โยม –  ไม่ได้  

พระอาจารย์ –  นี่คือทุกข์ นี้เรียกว่าทุกขสัจ นี้คือทุกขสัจ  นี่คือทุกข์ประจำขันธ์ นี่คือทุกข์ตามความเป็นจริง


โยม  แต่เราไม่ทุกข์ 

พระอาจารย์ –  ก็ไม่มี “กายเรา” น่ะ ... ก็มีเรื่องของกาย ไม่ใช่กายเรา นี่เป็นกายตามความเป็นจริง เขาก็มีทุกข์อันเดียว คือทุกข์ประจำกาย ทุกข์ประจำขันธ์ ทุกข์ประจำโลก มันเป็นอย่างนี้ ... หนีไม่ได้ แก้ไม่ได้ มันแล้วแต่...เหตุและปัจจัย


โยม –  แล้วทุกข์ตัวนี้ไม่สามารถทำให้จิตอะไรที่หลวงพ่อว่าดิ้นรนทุกข์ร้อนได้เลยใช่มั้ย

พระอาจารย์ – ก็ไม่ได้ ถ้าจิตมันตั้งมั่นด้วยสัมมาสมาธิ แล้วมันมีปัญญากำกับ


โยม –   ก็อยู่เฉยๆ ของมัน

พระอาจารย์ – มันก็มีเท่าเนี้ย ... แต่ว่าไอ้ที่มันหายไปคือ ทุกข์อุปาทาน ... เพราะนั้นทุกข์อุปาทานมันจะมีในไหน  มันมีอยู่ในกายสังขาร คือ “กายเรา”  ทั้งกายเราในปัจจุบัน กายเราในอดีต กายเราในอนาคต กายเขาในอดีต กายเขาในอนาคต

ตรงนั้นน่ะมันจะมีทุกขเวทนาเกิดขึ้นในกายพวกนั้นด้วย  ทุกข์พวกนั้นที่อยู่ในกายพวกนั้น พระพุทธเจ้าท่านเรียกทุกข์เหล่านี้ว่า...ทุกข์อุปาทาน ... พระพุทธเจ้าบอกไม่ต้องแก้เลยทุกข์นั้น ละ...ให้ละ

เพราะนั้นวิธีละ ไม่ได้ให้ไปละทุกข์ในนั้น ... ท่านให้ละตัวที่ ตัว“เรา”  ท่านให้ละที่ “เรา” ...เพราะ “เรา” นี่โคตรพ่อโคตรแม่ของทุกข์นั้น  เพราะถ้าไม่มี “เรา” จะไม่มีทุกข์นั้น เข้าใจมั้ย  

ถ้าไม่มี “เรา” ในปัจจุบัน ถ้าไม่มี “เรา” ในอดีต ถ้าไม่มี “เรา” ในอนาคต  ก็จะไม่มีความรู้สึกเป็นสุขเป็นทุกข์ในอดีตและอนาคตหรือยังค้างอยู่ ... มันก็เหลือทุกข์อันเดียว

เพราะนั้นไอ้ทุกข์เดียวทุกข์หนึ่งเนี่ย ที่พระพุทธเจ้าบอกว่า ทุกข์...ให้กำหนดรู้ ...รู้จักมั้ย ว่าทุกข์ให้กำหนดรู้


โยม  ต้องเข้าใจถึงจะละ “เรา” ได้ใช่ไหมครับ

พระอาจารย์ –  ต้องให้มันเห็นสภาพของทุกข์จริงและทุกข์ไม่จริง  ต้องให้เห็นเราจริง กับเราที่ไม่มีจริง


โยม –  อย่างที่หลวงพ่อบอกว่า ทุกข์นี่ กำหนดรู้  พอหลวงพ่ออธิบายแล้วเพิ่งแจ้งมาเรื่อยน่ะ ทุกข์...ต้องกำหนดรู้   เอ้า นั่งอยู่นี่  กำหนดรู้มันลงไป 

พระอาจารย์ –  ก็ต้องรู้ทุกข์ที่มันปรากฏอยู่ในปัจจุบัน คือกายในปัจจุบันที่ปรากฏ


โยม –  นี่คือการกำหนดรู้

พระอาจารย์ –  เหตุอะไรก็ตามที่มันปรากฏขึ้นในปัจจุบันนี่ พระพุทธเจ้าท่านเรียกว่า ทุกขสัจ  จะมีความรู้สึกบีบคั้นหรือไม่บีบคั้น หรือรู้สึกเห็นว่าดี เห็นว่าไม่ดี  แต่มันปรากฏนี่ ท่านเรียกว่าทุกขสัจ  


โยม  ก็รู้เข้าไป  

พระอาจารย์ –  เพราะนั้นทุกขสัจที่พระพุทธเจ้าต้องการให้รู้นี่ จริงๆ ท่านให้รู้ทั้งสามโลกธาตุ  แต่ในเบื้องต้นนี่เราไม่สามารถจะจำแนกออกไปถึงขนาดนั้น ต้องมารู้ในทุกข์ที่เป็นกาย ต้องเป็นกายเป็นหลัก ยืนหยัดไว้ในกายก่อน เอากายเป็นตัวทุกข์ คือการปรากฏขึ้นหรือเหตุแห่งกายที่ปรากฏในปัจจุบัน

เหตุแห่งกายที่ปรากฏในปัจจุบัน คือความรู้สึกใดๆ นี่ ลมพัดนี่ เย็น วูบนึงๆ ใช่ไหม  ความรู้สึกที่วูบนึงๆ จะรู้สึกดีหรือไม่ดีหรือเฉยๆ กับมันก็ตาม อาการที่ปรากฏนี้เรียกว่าทุกขสัจทางกายปรากฏ  

อาจจะไม่มีความรู้สึกดีใจเสียใจหรือว่าเป็นทุกข์ หรือว่ารู้สึกว่าบีบคั้น  แต่มันปรากฏ นี่เรียกว่าเหตุแห่งกายที่ปรากฏขึ้นเพราะมีปัจจัยภายนอกมากระทบ  นี่คือทุกข์ที่ต้องกำหนดรู้ ทุกข์อันเดียว  เพราะนั้นจะมีแค่ทุกข์เดียว คือทุกขสัจ ไม่มีทุกข์สอง  ทุกข์สองไม่มี  

จะมีทุกข์สองต่อเมื่อมี ..  “ทำไมมันเย็นวะ”  นี่ มีกายเราที่ไม่อยากเย็น มันเตรียมสร้างภพใหม่แล้ว จิตมันสร้างภพที่ดีกว่านี้แล้ว ที่ยังไม่มีอยู่จริง .. “ถ้าปิดพัดลมได้จะดี” ...มันมีแล้วภาพที่ตัวเองตอนที่ปิดพัดลม ไม่มีพัดลมแล้วมันพอใจ ... แต่ยังไม่มีจริงใช่มั้ย เห็นมั้ย


โยม –  ใช่ 

พระอาจารย์ –   นั่นน่ะคือกายสังขาร  แล้วระหว่างในกายสังขารนั่นน่ะคือ “กายเรา”    


โยม –  แต่เป็นกายที่ไม่จริง

พระอาจารย์ –   ก็คือไม่มีน่ะ  


โยม – เป็นภพที่เราไปสร้างขึ้นมา

พระอาจารย์ –  นี่คือภพและชาติ...ที่เราอยู่กับการสร้างภพและชาติ ...มันออกจากความเป็นคน  


โยม  มิน่า แว้บไปเป็นอริยะก็มี  

พระอาจารย์ –  นั่นแหละ เขาเรียกว่าสันดานของจิตน่ะ มันไม่ยอมอยู่กับที่  มันไม่ยอมพอดีกับปัจจุบัน มันพยายามปฏิเสธความเป็นภพปัจจุบัน ใช่ป่าว  


โยม –   ใช่ 

พระอาจารย์ –  อะไรๆ ที่ปรากฏอยู่เดี๋ยวนี้    


โยม –  มันไม่เอา

พระอาจารย์ –  มันจืด ชืด ไม่เห็นมีอะไร มันธรรมดา ...แต่ก็ 'ธรรมดา' นั่นแหละ...


โยม   ธรรมะ 

พระอาจารย์ –  ก็คือธรรม ก็คือธรรมชาติ ก็คือความจริง 

แต่นักภาวนาทั้งหลายพยายามหนีความจริงหมดเลย จะไปหาอะไรที่ไม่จริง แล้วมาสมมุติคุยกันว่าจริง ...  อวด ขี้อวด อวดขี้ๆ  ทำไมมีขี้ ทำไมขี้อวด  เพราะมันมี “เรา” มีเราก็มีขี้ มีขี้ก็เอาขี้มาอวด

ไอ้คนฟังก็เอาขี้เขามาทา (หัวเราะกัน) เอามาทาแล้วก็บอกว่า ขี้คุณหอมดี คุณขี้ได้ดีมาก ขี้ได้เก่งมากเลย ขี้คุณละเอียดจริงๆ แล้วมีวิธียังไงที่ผมจะขี้ได้เหมือนอย่างคุณ ... แล้วก็พยายามจะทำทุกวิถีทางที่จะให้ขี้เหมือนเขา ...นั่นนะเรื่องของเราทั้งนั้น

ภาวนาไม่ใช่เรื่องขี้ๆ นะ ภาวนาเป็นเรื่องที่ไม่มีขี้เลย ไม่มีขี้ “ของเรา” เลย ...ไม่มี “เรา” ภาวนาเลย มีแต่ “รู้กับเห็น” ความเป็นไปของสรรพสิ่งที่ปรากฏ  เบื้องต้นคือในกรอบของขันธ์ คือกรอบของกายที่เป็นศีล  แล้วมันจะกระจาย ต่อเมื่อเห็นที่สุดของกาย

เพราะนั้นเราจะไม่พูดหรอกว่าที่สุดของกายเป็นยังไง ดูไป  เมื่อใดที่มันถึงที่สุดของกาย หรือเห็นกายในที่สุดแล้ว มันจะไม่มีกรอบของกายอีกต่อไป


โยม – เนี่ย  เริ่มอยากแล้วนะหลวงพ่อ   

พระอาจารย์ – นั่นแหละ บอกแล้วไง เห็นมั้ย จิตมันเคลื่อนทันทีเลย    


โยม –  (หัวเราะกัน)

พระอาจารย์ –   จิตมันมีความเข้าไปสร้างเวทนาข้างหน้าข้างหลัง จิตมันเข้าไปหมาย สร้างรูป สร้างวิญญาณ สร้างจิตขึ้นข้างหน้าเลย  แล้วมันก็จดจ่ออยู่ตรงที่จุดนั้น ... นั่นเรียกว่าอุปาทานภพ  

แล้วเราก็สนับสนุนในการที่จะทำยังไงก็ได้เพื่อจะลากกายให้ไปเสพหรือให้เกิดผัสสะห้าและหกตรงนั้นให้ได้  ...นี่คือการปฏิบัติเพื่อแสวงหาภพและชาติหรือเปล่า ... ใช่มั้ย 


โยม  ใช่  

พระอาจารย์ –   มันไม่ได้เป็นไปเพื่อการปฏิบัติเพื่อรื้อภพถอนชาติเลยนะ แล้วไม่ต้องพูดถึงว่ารื้อภพถอนชาติ ก็ยังไม่ต้องไปพูดถึงลบภพลบชาติ 


โยม –  เพราะมันสร้างต่ออยู่   

พระอาจารย์ – ก็มือนี่ถือสุ่มอยู่ กับแห ... ใครพูดอะไร ใครบอกแนะนำอะไร ก็หว่านไปเรื่อยอ่ะ ปลาเล็กปลาน้อย ไม่มีอะไรก็เอามาทำปลาร้า  กินปลาร้ากันไปแล้วกัน ของเน่า กินของเน่ากันอยู่ กินขี้กันอยู่ แล้วก็มาอวดขี้กันอยู่นั่น

มีแต่ “เรา” อยู่เต็มหัวอกเต็มหัวใจ ยังไม่รู้เลยอะไรเป็นกายเรา อะไรเป็นกายจริง ...ไม่ต้องพูดเลย ไม่ต้องพูดถึงมรรคผลและนิพพานเลยนะ

สักกายเบื้องต้นยังแยกไม่ออกว่า อันไหนเป็นกายสักกาย อันไหนเป็นกายมหาภูตรูป ไม่ต้องพูดถึงอะไรแล้ว  เพราะนั้นการแยกสักกาย กับกายมหาภูตรูปคือกายศีล กายตามความเป็นจริงนี่ มันไม่ได้ว่ายากเย็นเข็ญใจแต่ประการใด ใช่มั้ย

อย่างที่เราพูดเราบอก มันก็อยู่ตรงต่อหน้าเราแล้วนี่ ... มันต้องหามั้ย มันต้องทำขึ้นมามั้ย มันต้องคิดค้นอะไรมั้ย  ก็แค่หยั่งลงไป หยั่งลงไปด้วยสติที่เป็นสัมมา  ดูอยู่อย่างนี้...ไม่ต้องไปที่อื่น ไม่ต้องไปหาดูที่อื่น  กายก็มีอยู่จนตายอ่ะ

อย่าให้มันมีรู้อนาคต อย่าให้มีรู้อดีต อย่าให้มีกายอดีต อย่าให้มีกายในอนาคต  อย่าไปจม อย่าไปแช่กับมัน อย่าไปเชื่อมัน    


โยม –  ครับ มันหลอกเราครับ 

พระอาจารย์ –  นั่นแหละพวกเซลส์แมน 


โยม  (หัวเราะกัน) พวกเซลส์แมน หลอกหมดเลย

พระอาจารย์ –  เสนอสินค้าราคาดีและถูก ...ของดีของถูกไม่มีจริงหรอก ของเก๊  


โยม – ครับ เสนอทุกวันเลยครับ วันนี้เสนอ พรุ่งนี้ก็เปลี่ยนอีกแล้ว    

พระอาจารย์ –  เออ เซลส์แมน  จิตน่ะมันทำหน้าที่เสนอขาย มันทำการตลาดโดยไม่เหน็ดไม่เหนื่อย  ไอ้พวกเราก็ตั้งหน้าตั้งตารอหาสินค้าใหม่ๆ ที่ราคาถูก ดี 


โยม –  ก็เก่งนะครับ เสนอถูกใจทุกทีเลย 

พระอาจารย์ – นั่นแหละ “สบช่องกูเลย” ...สบช่องเราไง  มันก็เพราะเราข้องเราคาอะไร จิตมันก็จะเสนอขายให้


โยม – เพียบเลย

พระอาจารย์ – เขาบอกว่าอย่างนี้ดี อย่างนี้ใช่  พุทโธก็ดี ถ้าพิจารณาอย่างนี้แล้วจะเร็ว ถ้าทำอย่างนี้แล้วจะ...โอ้โห แว่บเดียว รวดเดียว...ถึงนิพพานเลย   

นั่นน่ะมันกำลังจะเอาอุปกรณ์จับปลาที่ดีกว่านั้นขึ้นมาเรื่อยๆ มีทั้งเรดาร์ หาปุ่มปลาได้ชัดเลย ...ไปยังไม่ทันได้ถึงไหนอ่ะ...ล่ม เรือล่ม...ตายหมด


โยม  (หัวเราะกัน)  

พระอาจารย์ –  ...รู้เฉยๆ นี่มันจะตายรึไง  ถามดู  เอ้า รู้อยู่ นั่ง รู้ว่านั่งนี่ เห็นมั้ย แค่นี้ มันรู้สึกแล้ว ...รู้สึกอะไร รู้สึกว่าเรา .. “แย่แล้วโว้ย ..เราจะตายแล้ว เราไม่ไหวแระ” ...เห็นมั้ย “เรา” มันกำลังจะตาย ... ให้มันตายไป ให้ “เรา” น่ะตาย 


โยม –  ให้ “เรา” ตาย กายไม่ตาย  

พระอาจารย์ –   กายมันไม่ตายหรอก มหาภูตรูปก็ยังตั้งอยู่  แต่ความรู้สึกว่า “เรา” ตาย คือ “กายเรา” กำลังจะตาย  มันไม่ยอมตาย ให้จิตมันอยู่ในที่อันเดียวนี่ มันจะตายแล้ว   


โยม –   อ๋อ ปล่อยให้มันตาย 

พระอาจารย์ –   เออ ปล่อยให้มันตาย เพราะมันอยากจะหาที่เกิด และมันเพลิดเพลินในการเกิดใหม่ของมัน ในภพที่มันสร้างไว้  แล้วมันก็สร้างสรรค์แบบวิจิตรบรรจง  นั่นแหละคือความปรุงแต่งของสังขารจิต  ผู้ใดที่ตามรู้เท่าทันสังขารจิต ผู้นั้นจะรอดพ้นจากบ่วงมาร ...นี่เป็นข้าทาสมันนะ


โยม    รับใช้มาตลอด

พระอาจารย์ –   แล้วมาปฏิบัติก็ยิ่งมาบรรเจิดกับมันอีกต่างหาก  โดยเข้าใจว่าถ้าได้รูปลักษณ์อย่างนั้น ได้จิตลักษณะนั้น ได้สภาวะนั้น นั่นมรรคผลนิพพานใกล้จะถึงแล้ว ...บอกแล้ว จิตมันจะเข้าช่องที่ “เรา” ต้องการ ...มันก็จะสร้างสิ่งที่เราต้องการ  

อยากได้อะไร...จิตจัดให้  อยากเกิดสภาวะไหน...จิตจัดให้ 


โยม –  ขอให้อยากมาเถิด 

พระอาจารย์ –  เออ เหอะ แล้วมันก็จะสรรหาวิธีการวิธีกรรม เพื่อจะให้ได้เสวยภพนั้นให้ได้ในจิต หรือสภาวธรรมหรือสภาวะจิตอย่างนั้น มันก็จะบังเกิดขึ้น ... พอมันเกิดขึ้นด้วยความโง่ซ้ำอยู่แล้วนี่ เหมือนหมากับกระดูก ...ดีใจ

เคยเห็นหมาสิบตัวกับกระดูกชิ้นนึงมั้ย  กัดกัน ทะเลาะกัน อวดกัน แย่งกัน  ว่าใครเก่ง ว่าใครดี ว่าใครถูกกว่ากัน ไม่ต่างอะไรกับหมากะกระดูก  เพราะนั้นพอมันคิดว่าจะต้องได้อะไร จะต้องให้ได้สภาวะนั้นเกิดขึ้น ถ้าเกิดขึ้นนี่ หมาก็กระโดดงับกระดูกเลย แล้วก็ขู่แฮ่ ขู่ฟ่อ อวดว่ากูเก่ง กูมีกระดูกชิ้นนึง มึงไม่มีกระดูกเหมือนกู   


โยม –  กูได้แล้วๆ มึงยังไม่ได้  

พระอาจารย์ –  ถามว่า กระดูกมันมีสารอาหารแต่ประการใดไหม ...ไม่มีอะไร  สุดท้ายเดี๋ยวก็หาย หายก็เสียใจ คร่ำครวญอีก หาใหม่อีก  แล้วก็หาใหม่...ที่กระดูกก้อนใหญ่กว่านั้นด้วย ดีกว่านั้นอีก เอ้า ภาวนาแบบหมาๆ ก็เป็น

นี่มันออกจากคนนะนี่  เป็นคนดีๆ ไม่ชอบ ไม่อยู่กับความเป็นคน เป็นคนก็เป็นคนไม่จริง ไม่ถึงเสี้ยวหนึ่งของวันเลยเป็นคนนี่ กี่วินาที กี่นาที นับเอาเป็นเปอร์เซ็นต์

พระโสดาบันเป็นผู้ที่เข้าถึงศีล...แปลว่าอะไร แปลว่าท่านเป็นคน ท่านเป็นคนมากกว่าพวกเรา มากกว่าเยอะเลย  เพราะว่าเกือบตลอดเวลา เกือบจะตลอดเวลา ท่านอยู่กับตัว...กายนี้ แปลว่าท่านเข้าถึงศีล ท่านอยู่กับศีลเป็นหลัก

ท่านออกนอกศีลด้วยความจงใจหรือเจตนา...น้อยมาก อาจจะเผลอเพลินไปบ้าง แต่เมื่อรู้ตัว ท่านกลับ กลับมาทันที  เพราะท่านรู้เลยว่า ถ้าออกนอกนี้ไป...มีเรื่องกับเป็นเรื่อง เรื่องคือทุกข์  เพราะนั้นสันดานท่านเปลี่ยน ...ก็กลับมาเป็นคนมากขึ้น


โยม   ต่อไปต้องเปลี่ยนสันดานใหม่แล้วครับ

พระอาจารย์ –   ภาวนาก็เพื่อเปลี่ยนสันดาน  สันดานของขันธสันดาน หรือว่าจิตสันดาน หรือว่าอาสวะที่หมักหมม มันก็สร้างสันดาน...ด้วยความที่กิเลสคือความเคยชิน มันเกิดเป็นความเคยชิน แล้วเราก็ปล่อยไปตามความเคยชิน นั่นแหละกิเลส

เพราะนั้นความเคยชินของพระอริยะก็จะเกิดขึ้นใหม่ เป็นความเคยชินที่ไม่เคยชินมาก่อน   


โยม –  อ๋ออออ  

พระอาจารย์ – ก็ทั้งๆ ที่เป็นคนนี่ แต่ไม่เคยเป็นคน ก็มาเป็นคนด้วยความเคยชินซะ ... แล้วพระโสดาบันนี่เข้าถึงศีล เป็นผู้ที่...สมมุติถ้าท่านตาย ท่านก็เป็นคน  เพราะระหว่างมีชีวิตท่านก็เป็นคนน่ะ ตาย...จิตก็อยู่ในความเป็นคน ไม่เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน หรืออสุรกาย หรือสัตว์นรก

ก็ท่านรู้สภาพของท่าน แล้วก็ตายในสภาพที่เป็นคน ทั้งกายทั้งจิตก็เป็นคนโดยสภาพ  เพราะนั้นโดยสันดานท่าน ตายแล้วก็เป็นคน ...หมายความว่าท่านปิดอบาย     


โยม –  อ้อ  เหตุด้วยมีปัญญา 

โยม (อีกคน) – แล้วถ้าตั้งจิตดีๆ

พระอาจารย์ –  ไอ้ตั้งจิตดีๆ นั่น มันเป็นเรื่องของความอยาก  เพราะว่าจริงๆ น่ะ บางครั้งเราไม่สามารถจะตั้งจิตได้ ...ตายกลางทาง ตายอุบัติเหตุ ตายไม่รู้เนื้อรู้ตัว  ลักษณะอย่างนี้ เราตั้งไม่ทันหรอก

แต่ลักษณะของพระโสดาบัน โดยสันดานท่านเปลี่ยน  จะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจตาย หรือว่ารู้ตัวจะตาย  แต่ว่าโดยสันดาน มันเป็นโดยธรรมชาติ ที่จะกลับมาที่ตัว มาอยู่ที่ตัวโดยสันดาน ในระดับของท่าน  เพราะนั้นจุดที่ท่านบกพร่องไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์นี่...คือเจ็ดชาติ


โยม   อย่างช้า 

พระอาจารย์ –  อย่างมากที่สุดในการเกิด  เพราะว่าการรู้ความเป็นคนของท่านยังไม่สมบูรณ์ ยังไม่สมบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็นต์ ...อยากสมบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็นต์ไหม ก็ต้องรู้ว่าเป็นคนเยอะๆ ตลอดเวลา  เมื่อใดที่รู้ตลอดเวลาว่าเป็นคน คือรู้ในกายรู้ในศีล รู้ในปกติกายต่อเนื่องไม่ขาดสาย แปลว่า เป็นผู้มีภพเดียว ใช่มั้ย    


โยม –   ใช่ครับ   

พระอาจารย์ –  ใครเป็นผู้มีภพเดียว ...พระอนาคามี เป็นผู้มีชาติเดียว


โยม –  คืออยู่ที่ภพนี้ภพเดียวภพปัจจุบันนี่แหละ   

พระอาจารย์ –  ไม่มีอดีตอนาคตเลย  เพราะนั้นตายตอนไหนก็หมายความว่าท่านมีภพเดียว เพราะปัจจุบันท่านก็มีภพเดียว   


โยม –   แล้วพระอรหันต์เป็นยังไงครับ 

พระอาจารย์ – ก็ไม่มีภพสิ   


โยม    พระอรหันต์ไม่มีภพเลย

พระอาจารย์ –  ภพปัจจุบันไม่มี  


โยม –   ไม่มีภพเลย 

พระอาจารย์ –  นั่นน่ะตรงนี้ ตรงจุดนี้ที่เราบอกว่า ลบภพลบชาติ  


โยม –   อู้หู

พระอาจารย์ –   เพราะนั้นแค่มีภพเดียวนี่ยังเป็นแค่อนาคามี  สุดท้ายงานของพระอนาคาคือลบภพปัจจุบัน  


โยม –   ครับ ... ได้มากราบหลวงพ่อนี่ได้เยอะเลย

พระอาจารย์ –  ทำความเป็นคนให้เต็ม ด้วยสติ ในศีลให้เต็ม ... ทำศีลให้เต็ม สมาธิตั้งขึ้นเอง  มันจะตั้งมั่นขึ้นตามลำดับ ต่อเมื่อใดที่เราอยู่กับกาย ไม่เคลื่อนออกจากกาย ... ถึงเคลื่อนก็ให้ออกไปนิดๆ หน่อยๆ อยู่ในอาณาเขตที่ไม่ให้ข้ามไปเป็นเดือนเป็นปีเป็นชาติ ให้อยู่ในแวดวง


โยม   พอรู้แล้วให้มันกลับมา 

พระอาจารย์ –  ให้รีบกลับมา รู้กับตัว  


โยม –   ทำแค่นี้ก็พอ  

พระอาจารย์ –  แค่นี้ คืองาน นี่คืองาน ถามเราใช่ไหมว่างานทำอะไร     


โยม – ครับ    

พระอาจารย์ –  แล้วงานอื่นทิ้งหมด งานภายใน งานภาวนาอื่นที่เขาบอก เขาหลอก เขาแนะนำ  


โยม    ทิ้งได้เลย

พระอาจารย์ –  ให้ทำงานเดียวคืองานศีลกับสมาธิ...ด้วยสติ ทำงานด้วยสติ เป็นตัวกรรมกร  และในองค์เนื้องานก็คือกาย กับตั้งมั่นจดจ่ออยู่ในกายเดียว  แค่นั้นแหละ คืองาน เรียกว่า “สัมมาอาชีโว” นี้เรียกว่า “สัมมากัมมันโต”


โยม –  ครับ   

พระอาจารย์ –  การดำริชอบต้องดำริอยู่ในงานนี้เท่านั้น  แล้วมันจะเกิดเป็นสัมมาวายาโม ความเพียรชอบ  ก็เพียรที่จะจดจ่ออยู่ในกายเดียว กายอื่นไม่เอา  เมื่อนั้นก็จะเกิดสัมมาสติ สัมมาสมาธิ และญาณทัสสนะ     


โยม –  หลวงพ่อไล่ให้จบเลยนะนี่ ยังเข้าใจว่าตอนที่แบบจะสู้ศึกน่ะ มันจะเหลือคือสัมมาอาชีวะนี่ก็หมดไปแล้ว สัมมากัมมันตะก็หมดไปแล้ว อ๋อ นี่มันอยู่ตรงนี้หรอกหรือครับ

พระอาจารย์ –  ก็อยู่แค่กายใจนี่แหละ ไม่ได้อยู่ที่อื่นเลย  


โยม   นึกว่าสัมมาอาชีวะก็ไม่ต้องสนใจแล้ว ไม่รู้นะครับว่าสัมมาอาชีวะคืออันนี้ 

พระอาจารย์ –  กายนี้เป็นมรรค ใจนี้เป็นมรรค 


โยม – ถ้าไม่ได้มาฟังนี่ ยังมืด เข้าใจไม่ถูกอ่ะ      

พระอาจารย์ – ก็บอกว่ามัวแต่ถือแหอยู่นั่นน่ะ      


โยม – (หัวเราะ) ก็ยังนึกว่าอาชีวะโน้น   

พระอาจารย์ –   จิตค้น จิตหา จิตควาน จิตสงสัย จิตลังเล  พวกนี้คือจิตที่เคลื่อนออกหมด เป็นจิตสังขารหมด ...ละซะเลย ไม่ต้องไปอ้อยอิ่ง ยินดีพอใจหรือทำตาม ... บอกแล้วให้เหลือจิตหนึ่งคือจิตรู้ จิตเป็นหนึ่งคือจิตรู้ ให้เหลือจิตเดียวคือจิตรู้  

แล้วอยู่ดีๆ มันจะรู้อย่างเดียวไม่ได้ มันต้องมีที่ให้มันรู้...คือกายคือศีล 


โยม  ใช่ครับ 

พระอาจารย์ –  ไม่งั้นมันลอย


โยม –   มันไม่รู้จะไปอยู่กับอะไรน่ะ  

พระอาจารย์ –  ดูจิตก็เลย อยู่กับจิตก็ลอย


โยม –  ใช่  มันลอย

พระอาจารย์ –  ถ้าอยู่กับศีลนี่ไม่ลอย เข้าใจมั้ย


โยม  เข้าใจครับ 

พระอาจารย์ –  ไม่งั้นพระพุทธเจ้าไม่พูดซึ่งศีลสมาธิปัญญานะ   


โยม – โอ นี่โยงกันแบบ...คือไม่เข้าใจว่ามันเกี่ยวเนื่องกันโยงกันขนาดนี้  ยังงง ไม่รู้จะใช้อันไหนขึ้นมา 

พระอาจารย์ –   เป็นธรรมที่เนื่องกันโดยตลอดสายเลย...มรรค  


โยม –   ถ้าดูจิตนี่มันจะเคลื่อนไปเรื่อย

พระอาจารย์ –  เลื่อนลอยหมด เพราะเราออกนอกฐานปัจจุบันกาย ออกนอกกรอบของขันธ์  ถ้าออกนอกกรอบของขันธ์นี่ ไม่ต้องพูดถึงว่าจะเห็นขันธ์ตามความเป็นจริงไหม


โยม มาฟังหลวงพ่อ เหมือนแบบรู้จักโครงสร้างของมัน จะต้องมาเสต็บนี้ก็ไล่ๆๆ มาตรงนี้
อันนี้ก็เข้าใจตรงนี้ มันใช้ไม่ถูก ไม่เข้าใจว่ามันเกี่ยวเนื่องกันยังไง ไปคิดว่าแต่ละจุดใช้แต่ละเหตุแต่ละปัจจัย ไม่รู้ว่ามันโยงกันขนาดนี้ มันโยงกันหมดเลยอ่ะ  …คิดว่ารู้มาเยอะแล้วนะ แต่มันโยงกันไม่ติดสักอัน   

พระอาจารย์ –   มั่ว 


โยม –   ใช่

พระอาจารย์ –  ความคิดที่ออกมาจากจิต ความเห็นที่ออกมาจากจิต ความเชื่อที่ออกมาจากคิด ความเห็นที่ออกมาจากอ่าน ความจำได้จากที่ฟังมา  พวกนี้มันจะสร้างความเห็นที่เลื่อนลอย จับแพะชนแกะ จับแกะผสมวัว จับวัวผสมหมา จับหมาผสมม้า ออกมาเป็นตัวอะไรก็ไม่รู้     


โยม –   แล้วมันก็มาติดอยู่ตรงนี้ ที่หลวงพ่อว่า มันก็สงสัย มันก็ปรุงต่อยึดต่อ สงสัย ไอ้นั่นก็ไม่ใช่ ไม่เข้าใจ 

พระอาจารย์ –  เมื่อใดที่เคลื่อนจากกายใจปัจจุบันเมื่อนั้นแหละหลง ... เพราะนั้นวิธีการน่ะ เหมือนหมาสลัดน้ำ สลัดทิ้งทันที สลัดอาการนั้นทิ้งแล้วกลับมารู้ตรงนี้ทันที รู้โดยเอากายนี้เป็นจุดยึดโยง

ถึงบอกว่าออกนอกกายไม่ได้เลยยันพระอนาคามี  พระอนาคามีทำไมถึงออกนอกกายได้ เพราะท่านไม่มีกายแล้ว เพราะท่านไม่เห็นกายอีกต่อไปแล้ว ท่านจึงไม่มีกายให้ดู  เพราะนั้นคือหน้าที่ของท่านที่จะทำการลบภพปัจจุบัน คือไม่มีกายให้ดูอีกต่อไป

นี่กายยังมี...ยังเห็นยังแยกไม่ออกเลยว่าอันไหนกายจริง ยังไปหาบ้าบอคอแตกอะไรกันที่ไหน 


โยม  เยอะมากเลย

พระอาจารย์ –   ถ้าว่าถูกหลอกไปจนออกลูกมาหลายคลอกแล้วก็ว่าได้ ...แล้วมันจับแพะชนแกะผสมกันจนมั่วไปหมด

กลับมาหยุด...แล้วก็อยู่ที่กายเดียวใจเดียว แค่นี้น่ะ โง่...เหมือนกับไม่มีความรู้อะไรเลย จะไม่มีความรู้อะไรที่นอกจากนี้เลย


โยม –  ชอบจะโง่   

พระอาจารย์ – หรือมันไม่โง่ เอ้า  เข้าใจมั้ย กายนี่มันโง่ไหม  จับมันยืนมันก็ยืน จับมันไปยืนกลางแดดมันก็ยืนกลางแดด จับมันนั่งมันก็นั่ง จับมันอาบน้ำมันก็อาบน้ำ  มันปฏิเสธอะไรไหม มันร้องขออะไรไหม มันเรียกร้องอะไรไหม มึงพากูไปไหน กูก็ไป  มึงจับกูอยู่ท่าไหน กูก็อยู่ท่านั้น  เห็นมั้ย โง่มั้ยนั่น

กายนี่มันเป็นกายโง่ๆ นะ มันไม่มีเจตนา เจตจำนง หรือว่าความจงใจ หรือว่าความเป็นสัตว์เป็นบุคคล ความดีใจเสียใจในตัวมัน มันเป็นตัวแสดงที่เป็นก้อนโง่ๆ ของมัน

รู้โง่ๆ ... อยากก็รู้ ไม่อยากก็รู้ คิดก็รู้ ไม่คิดก็รู้ คิดมากก็รู้ ฟุ้งซ่านก็รู้ สงบก็รู้ ดีใจ-รู้ เสียใจ-รู้ พอใจ-รู้ ไม่พอใจ-รู้ โกรธ-รู้ ไม่โกรธ-รู้ โกรธมาก-รู้ โกรธน้อย-รู้ อยากมาก-รู้ ไม่อยากมาก-รู้

รู้...ไม่เคยปฏิเสธอะไรเลย ทุกอย่างเกิดขึ้นมันก็รู้โง่ๆ มันไม่ได้ว่าเลยว่ามันจะปฏิเสธการรับรู้นี้ ใจก็รู้ได้หมด ไม่ว่าอะไรเลย  เห็นมั้ย รู้โง่ๆ มาคู่กันกับกายโง่ๆ นั่นแหละ ญาณทัสสนะจะบังเกิด


โยม –   มันยังไม่เจออย่างนี้

พระอาจารย์ –  ญาณทัสสนะคืออาการที่เห็นโดยปราศจากความคิดและความจำ  มันเห็นเฉยๆ เห็นโดยที่ไม่มีความเห็นใดขึ้นมาสอดแทรก คือเนื้อแท้ธรรมแท้ของมันเอง นั่นแหละคือญาณทัสสนะ  คราวนี้ว่าญาณทัสสนะจะวิสุทธิหรือว่าแจ่มชัดนี่ อยู่ที่กำลังของสมาธิว่าจิตเป็นหนึ่งมากขนาดไหน

เพราะนั้นผู้ที่จะจิตเป็นหนึ่งได้ที่สุดนี่ ก็คือพระอรหันต์ อรหัตตมรรค  ตรงที่พระอรหันต์ หรืออรหัตตมรรค หรือสมาธิของท่านนั้น เรียกว่า มหาสมาธิ  เนื่องด้วยมหาสติและมหาปัญญา จะเป็นมหาสมาธิคือจิตจะเป็นหนึ่งจริงๆ เป็นเอกจิต

เพราะนั้นไอ้เราที่ว่าหนึ่งแล้วนี่ หนึ่งในกายนี่ ยังหนึ่งขั้นอนุบาล ...แต่ก็ต้องอาศัยหนึ่งอนุบาล แล้วเดี๋ยวก็หนึ่งประถม เหมือนกับเราเดินขึ้นเนิน ...เราอยู่บนพื้นนี้เรามองเห็นอะไร ก็เห็นเท่านี้... ถ้าขึ้นเนินล่ะ


โยม  ก็เห็นมากขึ้น

พระอาจารย์ –  จะเห็นอะไรได้กว้างไกล ชัดเจนกว่านี้  เอ้าเนินนี่แล้ว ยังมีเนินสูงกว่านี้  เมื่อใดที่ขึ้นอยู่บนเนินนะเรียกว่าจิตหนึ่งแล้ว เป็นจิตหนึ่งลักษณะหนึ่ง แค่เนินเล็กๆ

ถ้าหนึ่งขึ้น เดินขึ้นไปเรื่อยๆ เรียกว่าเดินไปตามมรรค เดินอยู่ในองค์มรรค มันก็จะขึ้นเนินสูงขึ้นมากว่านั้น  มันจะเห็นเกินทัศนะวิสัยที่เนินนี้เห็น และมันเกินทัศนะวิสัยที่คนพื้นราบเห็นด้วย  เพราะนั้นนั่นก็จิตหนึ่งในระดับของอริยะบุคคลอีกระดับหนึ่ง

คราวนี้ว่าเป็นหนึ่งบนยอดหิมาลัย  ทีนี้...สามโลกธาตุ...ชัดเจน  นั่นคือไม่มีอะไรเหนือกว่าสูงสุดแล้ว นั่นคือเอกภาพของจิตแล้ว จิตหนึ่งโดยสมบูรณ์  จิตจะเป็นหนึ่งโดยสมบูรณ์ด้วยอำนาจของศีลที่เป็นศีลวิสุทธิ สมาธิที่เป็นสมาธิขั้นวิสุทธิ หรือเรียกว่าที่สุดของการรวมตัวของจิตเป็นหนึ่ง

ปัญญาความชัดเจนนี่แจ่มชัด เรียกว่า นัตถิ ปัญญา สมา อาภา ไม่มีสว่างไหนเสมอเท่าปัญญาเลย  จะชัด...ไม่มีอะไรที่ไม่รู้ ไม่มีอะไรที่เกิดขึ้นแล้วไม่รู้ ไม่มีอะไรที่ตั้งอยู่แล้วไม่รู้ ไม่มีอะไรดับไปแล้วไม่รู้...ไม่มี

นั่นน่ะ มหาสมาธิ มหาปัญญา จะเข้าจุดนั้น  นี่คือระดับภูมิปัญญาของพระอรหันต์ เรียกว่าอรหัตมรรค ผู้กำลังทำอรหัตมรรคให้เต็ม

แต่ถ้าเราอยู่แบบไม่ได้ขึ้นเนินเลย แล้วก็เดินบนพื้นราบนี่ เขาเรียกว่า จิตจับฉ่าย  


โยม –  (หัวเราะ) กลับบ้านต้องไปเข้าอนุบาลใหม่แล้ว   

พระอาจารย์ – รู้กายเดียว ...ถึงแม้มันจะมีกายเรา ก็ขอให้เป็นกายเดียวในปัจจุบัน ก็ถือว่าจิตหนึ่งในระดับอนุบาลแล้ว  ถ้าไม่เริ่มจากอนุบาล มันจะสำเร็จปริญญาเอกได้ยังไง

อยู่ดีๆ จะไปฝันหวานว่าจะได้ปริญญาเอกเมื่อไหร่ อนุบาลยังไม่เรียนเลย ใครเขาจะมาให้ปริญญาเอก ...ก็แต่งตั้งกันไปแล้วกัน ไปให้เขาพยากรณ์ คนไหนพยากรณ์ได้ก็ว่าใช่ คนไหนพยากรณ์ไม่ได้กูก็ไม่เชื่อมึง    


โยม –  มันไม่แน่หรอกครับอย่างนี้

พระอาจารย์ –  เป็นปัจจัตตัง เดินไปตามลำดับ ...อย่าออกนอกกายนะ  กายนี่ ยันพระอรหันต์เลยนะ ต้องใช้กายนี้เป็นเครื่องกำหนด


โยม –  ครับ โห วันนี้ได้แนวจากหลวงพ่อ  

พระอาจารย์ – ได้แนวก็ดีแล้ว ...เอาไปทำต่อเลย


โยม – ถ้าจนตรอกเมื่อไหร่ จะกลับมาให้หลวงพ่อเคาะอีกที


…………………..