วันจันทร์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2557

แทร็ก 9/10




พระอาจารย์

9/10 (551112E)

(แทร็กชุดต่อเนื่อง)

12 พฤศจิกายน 2555




พระอาจารย์ –  นั่นแหละ ที่พูดมาทั้งหมด เนี่ย เป็นกระบวนการ หรือเป็นวิถีแห่งมรรค ...ผลก็แค่นั้นล่ะ คือการละทุกข์ คลายทุกข์ ออกจากทุกข์ จนหมดสิ้นซึ่งทุกข์ ...นั่นก็คือผล 

ไม่ต้องไปหวังผลอย่างอื่นเลย ...เอาทุกข์มาเป็นตัววัด ว่าเดี๋ยวนี้ เราทุกข์กับเรื่องนี้ๆ น้อยลงมั้ย  เดี๋ยวนี้เราทุกข์กับไอ้คนๆ นี้ ที่เราเกลียด...เคยเกลียดนี่ น้อยลงมั้ย  เดี๋ยวนี้เราทุกข์กับไอ้การกระทำของคนรอบข้างนี่ น้อยลงมั้ย ... นั่นแหละเป็นตัววัดผู้ปฏิบัติ...ว่าตรงอยู่ในองค์มรรค และได้ผลจริงมั้ย

ไม่ต้องไปวัดว่า...ใครนั่งนานกว่ากัน ใครนั่งสมาธิได้นานก็เก่ง ก็ดี หรืออะไรอย่างนั้น ...วัดเอาที่ว่าคลายจากทุกข์ได้มั้ย เข้าใจเรื่องของทุกข์ดีรึยัง แยกแยะทุกข์ได้มั้ย อันไหนเป็นทุกข์ตามความเป็นจริง อันไหนเป็นทุกข์ปลอม ...อันไหนเป็นทุกข์ปลอมปน อันไหนเป็นทุกข์ที่ต้องมี ซึ่งเรียกว่า ทุกขสัจ กับ ทุกข์อุปาทาน

เพราะนั้นการที่หยั่งรู้ดูกายปัจจุบัน ...ไอ้กายล้วนๆ กายเนื้อๆ กายวิสุทธินั่นแหละคือกายทุกขสัจ คือกายตามความเป็นจริง ...มันเป็นการปรากฏขึ้นลอยๆ ห้ามไม่ได้ ควบคุมไม่ได้ บังคับไม่ได้ เป็นอิสระ เป็นปัจยาการของมันเอง นั่นแหละ คือทุกขสัจ

แล้วนอกเหนือจากทุกขสัจนี้ไป ที่มีความรู้สึกเวทนาอะไรต่างๆ นานา ...พอใจ ดีใจ เสียใจ อะไรก็ตาม อดีตอนาคตอะไรก็ตาม  ทั้งหมดที่เกิด ท่านเรียกว่าทุกข์อุปาทาน ... เพราะมีอุปาทานขันธ์ ไม่ใช่ขันธ์ตามความเป็นจริง แต่เป็นอุปาทานขันธ์ที่จิตสร้าง สังเคราะห์ขึ้นมาลอยๆ เอาเอง โง่ๆ ดื้อๆ

เมื่อมีอุปาทานขันธ์ก็มีอุปาทานทุกข์ ... ทั้งหมดที่จิตออก จิตสร้าง ทั้งหมดจึงเรียกว่าอุปาทานทุกข์อุปาทานขันธ์

นี่ มันจะเข้าใจอย่างนี้ ...จิตเขาเข้าใจ ด้วยการดูรู้เห็นปัจจุบันที่เดียว ...ไม่ต้องไปหา ไม่ต้องไปค้นปัญญา ดูอยู่ที่เดียว ปัจจุบัน ที่ปัจจุบันกาย

แล้วมันก็ค่อยๆ แยกแยะออกไป ทีละเล็กทีละน้อย ...เหมือนกับปอกเปลือก ลอกเปลือกออก ก็จะเห็นเนื้อแท้ ธรรมแท้ กายแท้ จิตแท้ โลกแท้ ว่าเป็นอะไรกันแน่ ... สมควรมั้ยที่จะไปหมายมั่น ยึดครองจนเป็นทุกข์ เกิดทุกข์ขึ้นได้อีก 

นั่นแหละ ...อย่ามัวแต่หา อย่ามัวแต่รอ  
ผู้ปฏิบัติ...ที่น่ากลัว ที่ไม่ไปถึงไหน เพราะมัวรอ...กับหา 
หยุดรอ หยุดหา ...แล้วก็หยั่งรู้ลงในปัจจุบันกาย 
เริ่มหา เริ่มรอ ...หยั่งรู้อีกในปัจจุบัน 
เริ่มสงสัย เริ่มกังวล เริ่มลังเล ...หยั่งรู้อีกในปัจจุบัน 

ต้องแก้กันแบบ...ตาต่อตา ฟันต่อฟัน 
มันรอตรงนั้น...รู้ตรงนี้เลย 
มันรอว่า'เดี๋ยวก่อน'...รู้มันตรงนี้เลย 
หักลำกันเลย ...จึงจะพอลืมตาอ้าปากขึ้นจากโคลนและตม

'เดี๋ยว กินข้าวเสร็จก่อน เดี๋ยวให้ถึงกรุงเทพก่อน เดี๋ยวให้หมดธุระอันนั้นก่อน'  แน่ะ ...รอ
อย่ารอนะ รอมาหลายชาติแล้วนะ ...ก็ไอ้เพราะอย่างนี้ มันถึงหลายชาติ ก็ไอ้เพราะรอนี่ 

'เดี๋ยวก่อน เดี๋ยวให้เข้าใจกว่านี้ก่อน' ... มันจะเข้าใจกว่านี้อีกยังไง  
ที่เราพูดทั้งหมดนี่ เกินนิพพานอีก บอกให้เลย แค่นี้ ... จะเข้าใจอะไรกว่านี้

จิตน่ะมันชอบนัก ชอบมาขัดขวางมรรคหรือการรู้ตรงๆ รู้ในปัจจุบัน ...รอมาจนห้าสิบหกสิบปีแล้ว ก็เพราะรอมาก่อน ...'ให้ลูกโตก่อน เกษียณก่อน เกษียณแล้วก็ยังรออีกนะ รอให้ใกล้ๆ ตายก่อน เดี๋ยวให้มันเจ็บกว่านี้ก่อน ตอนนี้ยังมีเรื่องต้องทำอีกตั้งเยอะ จะต้องทำธุระนั้น เดี๋ยวก็จะไปงานนี้ เดี๋ยวก็จะไปนั่นก่อน ทำนี่ก่อน'

ตายไม่รอนะ เวลาความตายมา...ไม่รอ  ไม่รู้ตอนไหน มากระชากเอาไปแบบดื้อๆ เลย ... พญามัจจุราชไม่มีนิมิตหมาย ไม่มีเครื่องบ่งบอก มาปุ๊บเอาไปปั๊บ นั่นน่ะ มัวแต่รอใกล้ตาย ...ความตายไม่รอ รอไม่ได้ ...ปัจจุบันไม่เคยรอ ปัจจุบันก็มีอยู่ ธรรมะมีรออยู่  รออะไร...รอให้คนเข้ามาพิสูจน์

แต่ธรรมะจะไม่มีเลยสำหรับผู้ที่ยังรอคอยอยู่ จะเข้าไม่ถึงธรรมเลย ...ทั้งๆ ที่ว่านั่งเฝ้า นอนเฝ้า นอนกอดก้อนธาตุก้อนธรรมแท้ๆ ...น่าเสียดาย จะน่าเสียดาย 

ของมี ธรรมมี อยู่กับเนื้อกับตัวตลอดเวลา ตั้งแต่เกิด ...แต่กลับไปรอธรรมอะไรก็ไม่รู้ แทนที่จะมาสืบ มาค้น มาหยั่ง มาแยกแยะ ลงไปในปัจจุบัน ...โยนิโส แยบคาย

ตายไป ...ก็ตายไปเปล่าๆ ปลี้ๆ ตายแบบไม่มีสาระแก่นสาร ...อ้อ ได้อย่างนึงคือให้ร่างกายเป็นปุ๋ย นี่สาระ ดี ได้ร่างกายไปเป็นปุ๋ยให้หญ้างอกงาม...แค่นั้น นี่คือสาระแห่งการมีชีวิตลอยไปลอยมา รอวันรอคืน รอพรุ่งนี้ ...เออ การเกิดการตายของมนุษย์ ช่างขยันเกิดขยันตายกันเหลือเกิน ไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย

แต่เกิดมาทุกครั้งก็ 'โอยๆ'  เจอหน้ากันปรับทุกข์ ...ไม่ค่อยมีปรับสุขหรอก มีแต่ปรับทุกข์  หันหน้าเข้าหากัน...ปรับทุกข์ 'เธอเป็นยังไงบ้าง ฉันเป็นอย่างงี้ ลูกเธอเป็นยังไง ผัวเธอเป็นยังไง เมียเธอเป็นยังไง ดีกันมั้ย ทะเลาะกันมั้ย เจ็บไข้ได้ป่วยมั้ย' ...เหล่านี้ 

ไม่เคยอยู่ในปัจจุบันเลย ...ใจอยู่ไหนไม่รู้  มีแต่เธอกับเธอกับเธอ กับลูกของเธอ กับผัวของเธอ
ใจอยู่ไหน ฮึ ...มันหายไปไหนได้ยังไง ปล่อยให้มันหายได้ยังไง  

มันน่าสมน้ำหน้ามั้ยที่มันตายเกิดๆ ...นั่งอยู่กับกองกระดูก ก้อนเนื้อ ก้อนธรรมแท้ๆ กลับมีแต่...เธอกับฉัน ฉันกับเธอ เรื่องอะไรก็ไม่รู้ ไม่มีสาระ ...เสียดายเวลาที่มันกลืนกิน หมุนวนอยู่

เหมือนวัวเข้าหลักประหาร ยังเดินเคี้ยวเอื้องเฉย ...หันมาคุยกันด้วยนะ เขากำลังเอาไปเชือดน่ะ มันเคี้ยวเอื้องเฉย เป็นฝูงน่ะ คุยกัน หัวเราะกัน สนุกๆ  ถามสารทุกข์สุกดิบกันอยู่นั่นแหละ ...เดินไปไหน กำลังจะเชือดแล้ว ...'อ้าว ถูกฆ่าแล้วเหรอ' 

ไปรู้ตอนนั้น...ตอนตาย  ดิ้นรนกระสับกระส่าย 'โอ้ย ไม่สมควรตาย ไม่อยากตาย อายุเรายังอยู่ได้ ยังทำประโยชน์ในโลกนี้ได้' ... ดู๊ แล้วไอ้ที่ผ่านมามันทำประโยชน์อะไรบ้าง...ในการรู้กายรู้ใจ ในการเข้าใจว่าจะยอมรับกับความตายด้วยความอาจหาญ ไม่หวั่นไหว

นี่ก็ยังทัน...มาฟังตอนนี้ก็ยังทัน แล้วก็เริ่มรู้ตัวไป ...แค่คำว่า “รู้ตัว” นี่คำเดียว ศีลสมาธิปัญญาอยู่ในคำว่ารู้ตัวนี่เอง “รู้...ตัว”...จบ ศีลสมาธิปัญญาอยู่แค่นี้เอง ...และทำให้รู้ตัวบ่อยๆ รู้ตัวบ่อยๆ เดี๋ยวโลกนี้เงียบเอง  อดีตก็เงียบ อนาคตก็เงียบ ตัวเราตัวเขาก็เงียบ เงียบไปหมด เหลือแต่รู้กับตัว ตัวกับรู้ จบ...จบอยู่แค่นี้ 

ให้มันจริงตรงนี้...กับคำว่า “รู้ตัว” แล้วก็ทำความรู้ตัวอยู่เสมอ  มรรคอยู่แค่นี้ ผลก็จะเกิดตรงที่รู้ตัวนี่เอง

มันจะหา...ไม่เอา  พอรู้ตัวลงไปว่าจะหา หาใหม่ หาธรรม หาความรู้นั้น หาความรู้นี้ หาตามตำรา คือสัญญามันจะขึ้นมา ลอยขึ้นมา ...ไม่เอา  สะบัดทิ้ง สลัดทิ้ง ละออก วาง จางออก ปุ๊บ รู้ตัวๆ โง่ๆ ลงไป ไม่รู้อะไร รู้อันเดียว ...มันไม่รู้อะไรเพราะมันรู้อันเดียวคือตัว 

แต่ไอ้ความอยากรู้น่ะมันเยอะ มันอยากรู้เยอะๆ คือมันอยากจะรู้สองสามสี่ห้าออกไป ... แต่พอมันรู้ตัว มันมีรู้เดียว ...มันน้อย มันไม่ชอบ เนี่ย สันดานของจิต

แต่พระพุทธเจ้าบอกว่าอันนี้ดี...ให้รู้ที่ตัวนี่แหละ มันจะได้เห็นตัว มันจะได้เข้าใจตัว มันจะได้หายหลงตัว...หลงตัวเป็นตน หลงตัวเป็นเรา หลงตัวเป็นเขา นี่ คือมันมาจากตัวนี้แหละ 

แต่พอรู้ตัวๆ แล้ว ...'อ๋อ เข้าใจล่ะว่าตัวคืออะไร' ...มันก็ไม่หลงตัวแล้ว หรือหลงปั้นน้ำเป็นตัว  คือมีหลงตัวจริง มีหลงตัวปัจจุบัน แล้วยังมีปั้นน้ำเป็นตัว...หลงไปปั้นน้ำเป็นตัว คือหลงตัวเราในอดีต ตัวเราในอนาคต

เห็นมั้ย รู้ตัวคำเดียวนี่แหละ มันครบหมดศีลสมาธิปัญญา ...แล้วถามว่ามันรู้ตัวที่ไหนไม่ได้บ้าง ได้ทุกที่  เพราะไม่มีที่ไหนไม่มีตัว ไม่มีสถานที่ไหนที่ไม่มีตัว  มีก็ตอนที่มันตายแล้ว แต่ถ้ายังไม่ตายนี่ ตัวมี...รู้ได้ ทุกที่น่ะ ...ธรรมนี่จึงเป็นอกาลิโกนะ ไม่มีอะไรมาปิดบังธรรมก้อนนี้ได้เลย

เพราะธรรมนี้เป็นอกาลิโก เพราะจิตรู้จิตเห็นนี่ก็เป็นอกาลิกจิต  อกาลิโก อกาลิกจิต คือไม่มีวันเวลาสถานที่หรือบุคคล ในกาย ในรู้ ...เพราะนั้นการรู้ธรรมเห็นธรรมจึงมีได้ตลอดเวลา ท่ามกลางเสียงก่นด่า ท่ามกลางเสียงแซ่ซ้อง ก็ยังมี...รู้ตัวได้ มีตัวอยู่ มีรู้อยู่ได้

อย่าให้มันชักลากออกไป อย่าให้จิตมันลากไปเกลือกกลั้วมัวเมา ...ฝืน ทน  ไอ้ตอนรู้ตัวนี่มันไม่เป็นอะไรหรอก ไอ้ที่มันรู้สึกว่าทนไม่ได้ เพราะว่ามันฝืน...ที่จิตมันจะเข้าไปหาเรื่องเอาเรื่องแล้วมันไม่ยอม มันไม่ยอม มันเสียดายตัวตน มันเสียดายตัวเรา มันเสียดายคุณลักษณะของเรา มันเสียดายความเป็นเอกภาพของเรา ความเป็นตัวเรา ... เนี่ย มันเลยอึดอัด

ยิ่งให้ค่าให้ความสำคัญกับตัวเราเท่าไหร่ พอหยุด...แล้วมาหยุดกับตัวเดียว ตัวนี้ ตัวโง่ๆ ตัวที่ไม่เอาอะไรนี่  มันรู้สึกจะสูญเสีย “ความเป็นเรา” ...จิตมันก็เลยดิ้น จะไปสร้างสถานะของเราให้เข้มแข็ง เป็นที่หนึ่งของโลก ในโลก ในคนรอบข้าง ในคนที่เราเกลียด ในคนที่เราชอบ 

ไอ้นั่นน่ะที่มันว่าทนไม่ได้ ...คือทนไม่ได้ที่จะไปลบล้างตัวเรา หรือทนที่จะไม่ทำให้ตัวเรานี่แข็งแกร่งขึ้นมาเป็นที่จดจำได้ในสามโลกธาตุ...เพื่อคงสถานะ “ตัวเรา” ไว้

พอให้มาอยู่อย่างนี้ปุ๊บ เหมือนกับตัวเราไม่สามารถไปป้องกันสถานะของ “เรา” ...มันก็อึดอัด เพราะมันหวงแหนตัวเรา มันหวงแหนตัวมันเอง ที่มันสร้างขึ้นมาเป็น “เรา”...“ของเรา” ด้วย  อารมณ์ของเรา จิตของเรา หน้าตาของเรา ตัวตนของเรา...ทุกอย่าง

พอให้มาหยุดอยู่อย่างนี้ มันคงสถานะนั้นไม่ได้ มันก็รู้สึกว่า...มันกลัวจะสูญเสียสถานะนั้น แล้วเขาจะเข้ามาล่วงเกินความเป็นเรา  มันยังเชื่ออยู่อย่างนั้นจิตน่ะ  พอมาอยู่อย่างนี้ มันจะต้องรับทุกอย่างโดยที่ .. “แย่แน่ๆ ทุกข์ต่อไปมากแน่” อะไรอย่างนี้ แล้วก็ทนไม่ได้ อดไม่ได้ที่จะต้องไปทำอะไร...นั่นแหละจิต

ต้องอดทน...ให้มันเหลือตัวเราให้เป็นตัวตนเดียว คือตัวปัจจุบันเท่านั้น  ...แล้วทุกอย่างก็จะเข้าใจไปทีละเล็กทีละน้อย 

ไอ้สำคัญคือการปฏิบัติธรรมนี่ อย่าไปหวังไกล หวังเกิน ... ผลของมันน่ะเป็นลักษณะซึมซาบ จางคลาย เหือดแห้ง ค่อยๆ ละมุนละม่อม นุ่มนวล ...ไม่ใช่หักเป๊าะ หักกิเลสหักเป๊าะหักแป๊ะ อะไรอย่างนั้น หรือว่าขาดแบบเกลี้ยงเกลาในพริบตา 

มันค่อยๆ เป็นไป เหมือนกราฟที่มันเป็น...ไม่ใช่อัพเทรนด์ แต่เป็นดาวน์เทรนด์ ... แต่ว่าในดาวน์เทรนด์มันก็มีนะวูบวาบๆ ... แต่ว่าโดยรวมมันเป็นดาวน์เทรนด์นะ 

คือว่าในลักษณะรายละเอียดมันอาจจะมีขึ้นบ้างลงบ้างอย่างนี้ ดูเหมือนไม่ได้ผลอะไร ...แต่โดยรวมมันดาวน์เทรนด์ ...น้อยลง หมดลง เหือดแห้งลง หายไป สิ้นไป ในความเป็นเราในอดีต เราในอนาคต

แม้กระทั่งเราในปัจจุบัน ก็เป็นแค่ขันธ์ซื่อๆ กายซื่อๆ กับรู้ซื่อๆ ...กายเฉยๆ กับรู้เฉยๆ นั่งเฉยๆ กับรู้ว่านั่งเฉยๆ แค่นั้น ... มันเป็นความไม่มีอะไรในสองสิ่ง ไม่มีความเป็นเจ้าของในสองสิ่ง ไม่มีความเข้าไปครอบครองในสองสิ่ง...คือสิ่งที่ถูกรู้คือกาย สิ่งที่รู้คือใจ

พอถึงจุดนึงแล้วมันจะบอกว่า สิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านสอน สิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านบอก แล้วผลที่พระพุทธเจ้าท่านบอก มันไม่ใช่ของที่ยาก ไม่ใช่ของที่ลึกลับซับซ้อนอะไรเลย ...เป็นของธรรมดา...ธรรมดาอย่างยิ่ง ธรรมดาจริงๆ 

ขนาดพระพุทธเจ้าท่าน...ก่อนตายท่านยังบอกว่า เธอทั้งหลายทั้งปวง จงยังให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาท  เพราะสังขารทั้งหลาย มีความเสื่อมไปดับไป เป็นธรรมดา ...เธอทั้งหลายอย่าประมาท ในความเสื่อมไปเป็นธรรมดาของสังขาร

เห็นมั้ยว่าความเสื่อมไป ความหมดไป ของสังขาร เป็นเรื่องธรรมดา ... แต่เราประมาทในความเสื่อม ความตั้ง ความเกิดขึ้นเป็นธรรมดานี้  มันเลยไม่เห็นว่าทุกอย่างนี้เป็นธรรมดาอย่างนี้ 

เมื่อจิตเห็นความเป็นธรรมดาอย่างนี้ๆๆ ด้วยความต่อเนื่อง ...เข้าใจแล้ว ไม่มีอะไรที่ผิดธรรมดาเลย ในการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไป ...จะไปเอาอะไรกับมันดี เอาอะไรมันก็แสดงความเป็นธรรมดาอยู่อย่างนี้ 

ทุกภพทุกชาติไปนั่นแหละ ...ต่อให้เกิดมาใหม่ ก็จะเห็นอย่างนี้ เป็นอย่างนี้ ...ขันธ์ก็จะเป็นอย่างนี้ โลกก็จะเป็นอย่างนี้  มีแต่ความบกพร่อง คือความเสื่อมไป  มีแต่ความไม่เป็นอย่างที่คาด อย่างที่หมาย ...เป็นธรรมดาอยู่แล้ว

(ถามโยม) เข้าใจมั้ย ฟังเข้าใจมั้ย

ฟังให้เข้าถึงใจ แล้วก็เข้าถึงกาย ...ภาวนามันต้องถึงกาย ถ้าถึงกายแล้วมันจะถึงใจ ...คำว่าถึงกายคือกายตรงนี้นะ ไม่ใช่ถึงกายแบบ หูย วิลิศมาหราหรือประหลาดมหัศจรรย์อะไร เป็นกระดูกเดินไป หรือว่าเน่าเปื่อย เห็นทุกคนเป็นร่างเน่าเปื่อย ...ไม่ใช่

เข้าถึงกายคือกายตรงนี้  ภาวนาถ้าถึงกายแล้วเดี๋ยวก็จะถึงใจ ไอ้ถึงใจนั่นขั้นสุดท้าย คือใจอันบริสุทธิ์ ใจอันเป็นวิมุติ

แต่เบื้องต้นพวกเราจะต้องถึงกายก่อน จนเข้าใจกายตามความเป็นจริง ...ถ้าเข้าใจกายตามความเป็นจริงแล้ว...ไม่ยาก ทุกอย่างง่าย ...ไอ้ที่มันยากเพราะเรามาติดอยู่ที่ก้อนนี้ กองนี้ ว่าเป็นเรา แค่นั้นเอง 

เมื่อเห็นกายตามความเป็นจริง หรือภาวนาถึงกายบ่อยๆ นั่งนอนยืนเดิน และความนั่งนอนยืนเดิน มันมีอะไรในนั่งนอนยืนเดินนั้น มันมีความรู้สึกอย่างไรในก้อนนั้นกองนั้นขณะนั้น ดูมันไป ...อย่าเบื่อ อย่าระอา อย่าเบือนหน้าหนี

จิตน่ะมันจะคอยเบือนหน้าหนี ...สติสมาธิน่ะเป็นตัวคอยบังคับ หรือว่าควบคุมให้มันต้องเบือนหน้าตรงลงมา...ในกายนี้  ...เพราะกายนี้จริง กายที่อยู่ตรงนี้จริง 

ปัญญาก็จะเห็นตามความเป็นจริงนี้มากขึ้น ยอมรับมากขึ้น  แล้วก็จะคลายออกจากของที่ไม่จริง ...ที่มันเบือนหน้า มันจะไปหาของไม่จริงแต่มันเชื่อว่าจริง มันเข้าใจว่าจริง แล้วมันจะปฏิเสธของจริง เข้าใจมั้ย นี่คือความโง่ของจิต

แต่เมื่อบังคับด้วยสติสมาธิ ให้มันอยู่กับของจริง คือภาวนาถึงกายบ่อยๆ ต่อเนื่อง แล้วมันจะทิ้งของไม่จริง ...เมื่อทิ้งของไม่จริง ความทุกข์ที่เกิดจากความไม่จริงทั้งหลายทั้งปวงจะน้อยลงๆๆๆ 

เหลือทุกข์แค่นิดเดียว แค่นี้ ...เดี๋ยวก็เย็น เดี๋ยวก็ร้อน...เลือกไม่ได้ ต้องมี  เดี๋ยวก็ตึง แน่น เมื่อย ขยับ นี่ทุกข์มีแค่นี้...แค่ในปัจจุบัน

ไอ้ทุกข์เพราะไม่ได้กินอาหารอร่อย ทุกข์เพราะไม่ได้ไปหาเยี่ยมลูกเต้า...ไม่มี  เพราะไม่มีกายนั้น ไม่มีกายอดีต ไม่มีกายอนาคต ...มีแค่ทุกข์ตรงนี้ในปัจจุบัน ซึ่งเป็นทุกข์ที่มีอยู่แล้ว หลีกเลี่ยงไม่ได้ เป็นธรรมดา นี่คือทุกขสัจ ...แล้วก็ในทุกขสัจนี้ ก็จะเห็นว่าในทุกขสัจนี้...ไม่มีความเป็นเราอยู่ในทุกข์นั้น

แต่ไม่ต้องไปคิด ไม่ต้องไปค้นดูเลย เฉยๆ ดูไปเงียบๆ ดูเรื่อยๆ ดูสบายๆ  ปัญญาก็จะเกิดขึ้น จนถึงที่สุด ก็จะเห็นกายตามความเป็นจริง ...กายตามความเป็นจริงคือไม่มีกาย แท้จริงแล้วไม่มีกายนี้ 

แต่ตอนนี้พูดไปก็แค่นั้น รอให้มันเห็นก่อน ใกล้ๆ ตอนนั้นก่อนจะอธิบาย ว่ากายนี้ ที่ว่าไม่มีน่ะ มันไม่มีอย่างไร ...พอแล้ว ไป เอาไปทำ
(ถามโยม) สงสัยมั้ย

โยม – เคยนั่งปฏิบัติน่ะค่ะ ก็นั่ง ก็ดูกาย บางทีมันก็หลุด แล้วเราก็ลืม  ก็ทำอยู่บ่อยๆ เหมือนกัน แต่บางครั้งมันก็...

พระอาจารย์ – นับหนึ่งตั้งแต่เดี๋ยวนี้

โยม – ฮ่ะ

พระอาจารย์ – นับหนึ่งทุกครั้งที่รู้ รู้ใหม่รู้ใหม่

โยม – เริ่มใหม่ ตั้ง...

พระอาจารย์ – ตั้งอยู่ในนี้ ไม่ต้องไปรอนั่งสมาธิ ...ตรงนี้ก็รู้ กายมีมั้ย ขยับคอรู้มั้ย เห็นความขยับมั้ย

โยม – ฮ่ะ

พระอาจารย์ – ลมพัดรู้สึกมั้ย ผมปลิวรู้สึกมั้ย มีความรู้สึกตรงผมปลิวมั้ย เห็นมั้ย

โยม – เห็น

พระอาจารย์ – นั่นน่ะกาย มันมีอยู่ตรงนี้นะ ...อย่าไปรอนะ อย่าไปรอกลับบ้าน อย่าไปรอนั่งสมาธินะ  เดี๋ยวนี้มันก็มี เขาแสดงความเป็นกายอยู่ใช่มั้ย

โยม – ค่ะ

พระอาจารย์ –  ขยับอีกรู้มั้ย ...เนี่ย กลับมาอย่างนี้บ่อยๆ  ดูข้างล่างซิ แน่นมั้ย ตึงมั้ย หนักมั้ย เป็นก้อนมั้ย มีอะไรกองอยู่ มีความรู้สึกเป็นกองอยู่มั้ย ...นี่คือกาย กายปัจจุบัน 

เดี๋ยวมันก็แว่บออกไป หายไป ...เอาใหม่ นับหนึ่งใหม่  นี่เรียกว่านับหนึ่งใหม่ นับหนึ่งที่กายนี่ใหม่ 

เพราะกายก็ยังไม่หายไปไหนเลย ตามความเป็นจริงก็มี แสดงปรากฏการณ์อยู่ตลอดเวลา แสดงความเป็นปกติของมัน  แต่จิตมันจะกระโดดออกไป เผลอเพลินบ้างๆ ...เอาใหม่ นับหนึ่งๆๆ กับตรงนี้ จนต่อเนื่อง

จนมันรักษาตัวมันเองได้ ...สติจะเข้าไปรักษาใจให้ตั้งมั่นอยู่กับตรงนี้ ด้วยความเป็นพีเรียด ยืดยาว ... แล้วมันจึงจะเห็น 

เบื้องต้น ถ้ามันเห็นความต่อเนื่องในกาย อยู่กับกายด้วยความต่อเนื่อง สิ่งที่มันเห็นคือ...เห็นเหมือนเป็นหุ่นกระบอก เหมือนหุ่นยนต์ ชักลอกไปมา เป็นก้อน วูบวาบๆ ของมันไป ...แล้วมันจะมีความรู้สึกใหม่ๆ เกิดขึ้นเอง เมื่อมันเห็นกายเป็นสภาพเช่นนั้นตามความเป็นจริง

ความพิสดารในกายยังมีอีกเยอะ เยอะมาก ไม่ใช่ที่แค่เห็นแค่นี้หรอก ยังมีอีกเยอะเลย ...ดูมันไปที่เดียวนี่แหละ นับหนึ่งอยู่ที่นี่ที่เดียวแหละ  ไม่ให้ไปหาที่อื่น ไม่ออกหลงไปที่อื่น ... ถ้าออกที่อื่นไปนี่ เรียกว่าหลง นั่นเรียกว่าหลงแล้ว 

แม้จะมีเรื่องราว มีความคิด มีความจริงจัง ...ว่าจริงขนาดไหนก็หลง มันหลงจากนี้ออกไป  ถ้าออกจากนี้ไป เรียกว่าหลง เป็นไปด้วยอำนาจของความหลง คือความไม่รู้ แต่มันเชื่อว่ามันรู้ แค่นั้นเอง ...ไม่รู้จริง

ถ้ารู้จริงต้องรู้ตรงนี้ รู้ที่นี่ รู้ที่กองนี้ก้อนนี้ มันแสดงอาการอะไร ...นี่เรียกว่ารู้กายตามความเป็นจริง 

นักภาวนานี่ บางทีภาวนามาตั้งหลายสิบปี ยังไม่รู้จักกายเลย เชื่อไหม ยังไม่เห็นกายเลย  ทั้งที่ว่าเอากายเป็นเครื่องภาวนานะ เช่นลมหายใจบ้าง หรือพิจารณาอสุภกรรมฐานบ้าง พิจารณาปฏิกูลบ้าง แล้วก็ยังมาบอกว่าเห็นกาย ... แต่นี่ยังไม่เห็นกายตามความเป็นจริงเลย

กายตามความเป็นจริง อย่างที่เราบอกให้โยมเห็นเมื่อกี้นี้...ที่รู้อยู่ตรงนี้ คือกายตามความเป็นจริง เป็นกายที่มีจริงในปัจจุบัน ใช่มั้ย ...อือ มันจริงที่สุดแล้ว ไม่มีอะไรจริงกว่านี้แล้ว  แล้วความจริงนี้เขาแสดงอะไรต่อไป เขาแสดงความเกิดดับ...เป็นธรรมดา ไม่อยากให้ดับก็ดับ ไม่อยากให้เกิดก็เกิด

ดูไป จิตมันจะเห็นเองรู้เอง แล้วมันจะคลายออกจาก...ทั้งหมดที่เราเคยจริงจัง  นั่นเป็นเรื่องหลงทั้งสิ้นเลย  จิตหลงจิต จิตน่ะหลงจิตเอง จิตน่ะหลงสิ่งที่อยู่ในจิตเอง ทั้งหมดเลย  ไม่มีอะไรเป็นสาระแต่ประการใดเลย 

เหมือนเส้นผมบังภูเขา เหมือนสมมุติมันมาบังปรมัตถ์ เหมือนบัญญัติน่ะมันมาบังสัจจะ เหมือนอดีตอนาคตน่ะมันมาบังความจริงในปัจจุบัน...นิดเดียวเอง แค่หยั่งตรงนี้บ่อยๆ จะเห็นได้ว่าอะไรจริง อะไรไม่จริง

แค่มันแยกออกระหว่างจริงกับไม่จริง เบื้องต้นนี่ ทุกข์นี่หายไปเกือบครึ่งแล้ว  วิธีออกจากทุกข์ก็รู้แล้ว...ในระดับที่ว่าจะทำยังไงดี  

ไม่ต้องไปให้คนอื่นมาสงเคราะห์ หรือว่าต้องให้คนอื่นมาแก้ปัญหาให้  มันจะรู้แล้วแก้ปัญหาของมันเอง ว่าจะออกจากทุกข์ได้ยังไง ...เมื่ออยู่กับความเป็นจริงมันจะออกจากทุกข์ได้ เพราะทุกข์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น มันเป็นทุกข์ที่เกิดขึ้นจากความที่เข้าไปจริงจังในสิ่งที่ไม่มีจริง แค่นั้นเอง

เอ้า พอ ...มีโอกาสก็มา


โยม – ค่ะ เดี๋ยวครั้งหน้าจะมา เพราะมีพัฒนาการแล้ว เริ่มแล้วค่ะ เราอาจจะเริ่มแบบไม่รู้มานานน่ะค่ะ

พระอาจารย์ – ไปทำ ...ให้เข้าใจ แล้วก็มาสอบทาน ทบทวน ให้เกิดความมั่นใจมากขึ้น  ถ้าไปทำแล้วมันจะได้เกิดความยืนยันให้มั่นใจ



...................................




วันเสาร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2557

แทร็ก 9/9




พระอาจารย์

9/9 (551112D)

(แทร็กชุดต่อเนื่อง)

12 พฤศจิกายน 2555




พระอาจารย์ –  รู้ไป ดูไป ...อดทนดูมันไป  ทนต่อจิตที่มันอยากหรือไม่อยากดู ทนต่อจิตที่มันอยากไปดูที่อื่น ทนต่อจิตที่มันอยากไปรู้ที่อื่น ...  ฝึก จนมันยอมรับ จนมันเข้าใจด้วยตัวของจิตเอง นั่นแหละท่านเรียกว่า ปัจจัตตัง เวทิตตัพโพ วิญญูหิ วิญญูชนทั้งหลายสามารถรับรู้ได้ด้วยความเป็นปัจจัตตัง 

เราเป็นวิญญูชนรึยัง ...กายที่นั่งอยู่มา ห้าสิบ หกสิบ เจ็ดสิบ สามสิบ ยี่สิบปีมานี้ เคยน้อมจิตกลับมาดูมันมั้ย เคยเห็นตามสภาพที่แท้จริงของมันจริงๆ รึยัง ว่ามันเป็นแค่ก้อน...ก้อนหนัก ก้อนร้อน ก้อนตึง ก้อนแน่น ก้อนไหว ก้อนเคลื่อน ก้อนวูบๆ วาบๆ ไปมา

จะได้หายโง่ที่มาบอกว่านี่สวย ...แข็งนี่สวย หนักนี่ก็สวยเหรอ เบาก็สวยรึไง  มันสวยตรงไหนล่ะ  หนักนี่เหรอเป็นผู้หญิง มันเป็นผู้หญิงตรงหนักเหรอ มันเป็นหนักเหรอ ผู้หญิงคือหนักเหรอ...ไม่เห็นนี่  จิตมันเห็นเป็นแค่หนัก จิตมันเห็นเป็นแค่กองทึบๆ 

มันเป็นเราตรงไหน ...ไม่เห็นเราในหนักเลย ไม่เห็นมันบอกว่าเป็นเราเลย...ตรงหนัก ตรงอุ่น ตรงเย็นที่วาบๆ ทีที่พัดลมพัดผ่าน ... มันเป็นเราตรงวาบๆ นี้เหรอ มันเป็นหญิงเป็นชายตรงวาบๆ นี้เหรอ...ก็ไม่เห็นนี่ จิตมันไม่เห็น 

แต่ถ้าจิตมันไม่ดูไม่รู้อย่างนี้ มันก็จะเชื่อว่า...ทุกอย่างนี่เป็นเรื่องของเราหมดเลย กายก็ยังเป็นเราอยู่ ...เชื่อเอาแบบโง่งมงาย เชื่อเอาแบบไม่มีเหตุไม่มีผล เชื่อเอาแบบโง่ๆ

แต่ถ้าดูดีๆ ...มันไม่มีเราตรงไหน แม้แต่ส่วนใดส่วนหนึ่ง ในการรู้สึกขึ้นมา ปรากฏขึ้นมาของกาย ...นี่แหละสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอน สิ่งที่พระพุทธเจ้าต้องการให้ทุกคนกลับมาเห็นความจริงเหล่านี้  ไม่ใช่ไปหาความจริงนอกนี้ออกไปไกลโพ้นโน่น  มันเลยเยิ่นเย้อยืดเยื้อไม่จบและสิ้น

ถ้ามาเห็นอยู่แค่นี้แล้ว...จบ จบแค่ความมันเป็นแค่ก้อนธาตุ ก้อนธรรม ก้อนทุกข์กองทุกข์  ไม่ใช่ก้อนของใคร ไม่ใช่กองของใคร ไม่มีใครเป็นเจ้าของได้  

ถ้าทนดูมันไป ทนรู้มันไป  ถึงระยะเวลาหนึ่ง จิตผู้ไม่รู้มันจะเชื่อเองน่ะ ... เพราะมันเถียงไม่ได้หรอก มันเถียงความเป็นจริงของความเป็นก้อนกองนี้ไม่ได้ ...ไม่ยอมก็ต้องยอมแล้ว ยอมออกจากความไม่รู้ ยอมออกจากอวิชชา ความหลง

ก็อยู่ด้วยความเข้าใจ ชัดเจน ในความเป็นแค่...สิ่งใดสิ่งหนึ่ง ที่ปรากฏขึ้น เกิดดับสลับไปมาระหว่างรูปกับนาม  เดี๋ยวเป็นรูปบ้าง เดี๋ยวเป็นนามบ้าง เดี๋ยวเป็นความคิด เดี๋ยวเป็นอารมณ์ เดี๋ยวมาเป็นกายบ้าง แปรปรวน เปลี่ยนแปลงสลับไปมา

และในการแปรปรวนเปลี่ยนแปลงสลับไปมาเหล่านี้ ไม่ได้เป็นธุระหน้าที่ของใครแต่ประการใด ...เป็นการปรากฏขึ้น ประชุมกันขึ้น ชั่วคราวชั่วขณะ ... แสดงความเป็นปฏิจจสมุปบาท ปัจยาการต่อเนื่องไปมาในปฏิจจสมุปบาท 

ไม่ใช่ธุระของใคร ในการหมุนวนแปรปรวนของขันธ์ห้า และของโลก ไม่ใช่ธุระของใคร ไม่มีใครเข้าไปจัดการ ไม่มีใครเข้าไปควบคุมได้ 

จิตมันจะถอนออกจากความเป็นเราในสรรพสิ่ง จิตจะถอนออกจากความเข้าไปยึดมั่นถือครองในสรรพสิ่ง จิตนั้นจะมาเป็นอิสระจากสรรพสิ่ง โดยไม่เข้าไปแตะต้องข้องแวะ

นั่นแหละคือผู้ที่เข้าไปถึงธรรม เห็นธรรมตามความเป็นจริงแล้ว จึงเข้าใจว่า...ไม่มีอะไรเลยเป็นของเรา ไม่มีอะไรเลยที่เข้าไปครอบครองได้  ...อย่าว่าแต่โลกภายนอกเลย แม้แต่รูปกับนามของตัวมันที่มันอยู่ด้วยกันกับใจ ยังครอบครองไม่ได้เลย  

นั่นแหละจึงเรียกว่าเป็นผู้ที่ปลดจากแอก ปลดแอกจากขันธ์ห้า ปลดแอกจากสามโลกธาตุ คือกามภพ รูปภพ และอรูปภพ ไม่ถูกพันธนาการอีกต่อไป ไม่กลับมามีขันธ์ห้าเป็นพันธนาการอีกต่อไป

นั่นแหละจึงเรียกว่าเป็นอิสระที่แท้จริง ...ไม่ใช่อิสระแบบปล่อยให้จิตล่องลอยไปมาโดยไม่ควบคุม คนละเรื่องกัน  แต่นี่คือเป็นอิสระจากโลกและขันธ์ เป็นอิสระของพระอริยเจ้า และอิสระขึ้นไปเรื่อยๆๆๆ 

จนห่างๆๆ ห่างไกลจากขันธ์ห้าแล้ว จนไม่สามารถกลับมารวมกันได้อีกต่อไป  จึงเรียกว่าเหนือโลก เหนือธรรม สิ้นโลก สิ้นธรรม เหนือบัญญัติ เหนือสมมุติ เหนือทุกสรรพสิ่ง ...ไม่อยู่ใต้แล้ว ไม่อยู่ใต้อำนาจของอะไรอีกต่อไปแล้ว

เพราะเข้าใจ ...ไม่ใช่ท่านเก่ง ไม่ใช่ท่านมีอำนาจ มีตบะ มีพลัง แต่ท่านเข้าใจ ...อำนาจมาจากความเข้าใจ พลังมาจากความเข้าใจหรือเห็นตามความเป็นจริง  จึงพลิกขึ้นมาอยู่เหนือโลก จึงพลิกขึ้นมาอยู่เหนือบุญเหนือบาป จึงพลิกขึ้นมาอยู่เหนือขันธ์ห้า ...จนไม่กลับคืนสู่ใต้อำนาจของสรรพสิ่งที่แสดงความเป็นไตรลักษณ์นี้อีกต่อไป

เพราะขันธ์ห้านี่...โลก ท่านมองเห็นแล้ว...ไม่ใช่อะไร นอกจากไตรลักษณ์ ...เกิด ตั้ง แล้วดับ เป็นธรรมดา ...เกิด ตั้งใหม่ แล้วดับใหม่ เป็นธรรมดา...อยู่อย่างนี้  นั่นแหละ ท่านเห็นขันธ์ห้ากับโลกคือไตรลักษณ์อย่างนี้ ...ไม่มีอะไรในขันธ์ห้า ไม่มีอะไรในโลก มีแค่ไตรลักษณ์  ปราศจากตัวตนสัตว์บุคคล ในความเป็นไตรลักษณ์ 

ความเกาะเกี่ยว ความข้องแวะ ความจมแช่ ความเข้าไปหมายมั่นกับสิ่งเหล่านี้...ไม่มี เข้าใจโดยตลอดแล้ว ...และก็ถามว่าเข้าใจโดยตลอดมาจากไหน มาจาก...นั่งรู้ นั่งดู นั่งเห็น นอนรู้ นอนดู นอนเห็น อยู่ในกายใจต่อเนื่อง ไม่ขาดสาย  จนเข้าใจ จนไม่ถูกมันหลอก จนไม่ถูกจิตผู้ไม่รู้หลอกอีกต่อไป

พญามารก็เรียกว่าตามหาไม่เจอ พญามัจจุราชตามหาไม่เจอ  เจอได้แค่ตอนนี้เดี๋ยวนี้ชาตินี้ จากนั้นไปอย่าหานะ อย่าหา “เรา” อีกนะ  เพราะไม่มี “เรา” อีกต่อไปแล้ว พญามารกับพญามัจจุราชก็หา “เรา” ไม่เจอ เพราะไม่มี “เรา” แล้ว ใช่มั้ย 

ถ้าตายกับ “เรา” ... “เรา” ตายนี่ เดี๋ยวก็เจอ...มารก็เจอ มัจจุราชก็เจอ  เพราะมี “เรา” ยังมี “เรา” อยู่ ... แต่ถ้าว่าหาไม่เจอเพราะอะไร  นี่คือไม่มี “เรา” แล้ว ...มี “เรา” แค่เดี๋ยวนี้ ชาตินี้  ...ก็เอาไปเลย ได้แค่นั้น แล้วไม่หวนคืนอีก เป็น อนาลโย

เป็นอนันตมหาสุญญตา  พญามารเข้าไม่ได้ พญามัจจุราชเข้าไม่ได้ สังขารมารเข้าไม่ได้ สังขารธรรมเข้าไม่ได้  เป็นที่อยู่ของสงฆ์สาวกและพระพุทธเจ้า ...จะเรียกว่าที่อยู่ก็ไม่เชิง เพราะมันไม่มีที่อยู่ เพราะไม่ได้เป็นที่ให้อยู่ เขาเรียกว่าเป็นแดน ก็ไม่ใช่เป็นแดน เพราะไม่มีขอบเขต ไม่มีรูปไม่มีนาม ไม่มีสภาวะใดสภาวะหนึ่ง เกินกว่าจิตมนุษย์จะหยั่งถึง ...เป็นอจินไตย

แต่มีอยู่ในนี้ และก็มีอยู่ตรงนี้ ...ทุกคนก็มี แต่มันเข้าไม่ถึง  เพราะไม่มีศีล ไม่มีสมาธิ ไม่มีปัญญา  มันจึงไม่มีโร้ดแมพ ไกด์ไลน์เข้าไป ...ทั้งๆ ที่มันมีอยู่นะ เดี๋ยวนี้ก็มี มีทุกคน  แต่มันถูกครอบ บัง ปิดแน่น จำกัดจำเพาะ ไม่ออกไปแสดงความเป็นสภาพที่ไร้รูปไร้นาม เหนือรูปเหนือนาม เหนือธรรมชาติทั้งหลายทั้งปวง

เราถึงบอกว่าน่าเสียดาย...ที่ปล่อยให้มันตายหายไปพร้อมกับขันธ์ห้า  แล้วก็ไปก่อความห่อหุ้ม...เพื่อไปสร้างขันธ์ห้าขึ้นมาปิดบังต่อเนื่องๆๆ ...ต่อเนื่องไป 

กว่าจะได้มาเรียนรู้ กว่าจะได้มาฝึกอบรม กว่าจะได้เกิดเป็นศรัทธา กว่าจะสร้างศรัทธาแห่งการปฏิบัติขึ้นมาในแต่ละภพแต่ละชาติ ใช้เวลาครึ่งค่อนอายุแล้ว ...บางครั้งโซซัดโซเซ กรรม อกุศลกรรมที่ทำด้วยความรู้ตัวบ้างไม่รู้ตัวบ้าง มันก็มาชักลากให้มีเรื่องราวมากมายจน...ภาษาในโลกเขาพูดว่า จนไม่มีเวลาปฏิบัติธรรม ...มันทุกข์ถึงขนาดนั้น มันมีภาระ มันมีหน้าที่จนต้องพูดกันว่าไม่มีเวลาปฏิบัติ

กว่าจะได้เข้าใจมรรค ทางแห่งมรรค ที่แท้ ที่ตรง ...ทั้งๆ ที่มรรคมีอยู่แล้ว แต่กว่าจะเข้าใจชัดเจน ว่ามันตรงอย่างนี้ ศีลคืออย่างนี้ สมาธิคืออย่างนี้ ปัญญาคืออย่างนี้ ...ไม่ใช่มันจะมารู้ มันจะมาเข้าใจกันได้ง่ายๆ 

ปล่อยเวลาให้ล่วงเลย บางทีครึ่งค่อนชีวิต  เพราะมัวแต่ค้น มัวแต่หาอยู่ มัวแต่เปรียบเทียบ เป็นธรรมะเปรียบเทียบอยู่ เป็นศาสนาเปรียบเทียบ เป็นแค่ปรัชญาเปรียบเทียบ ...เพราะอะไร ...พวกนักคิดนักเขียนมันเยอะ นักวิพากษ์วิจารณ์เยอะ ...แต่นักปฏิบัติจริง...น้อย  ผู้ปฏิบัติจริง...น้อย  ผู้ที่เข้าถึงจริง...ยิ่งน้อยลงไปอีก

ถ้าให้เราว่าก็...มาเกิดตอนนี้ทำไม ทำไมไม่ไปเกิดอยู่กับพระพุทธเจ้าซะเลยล่ะ  เห็นมั้ย มาเกิดเอาเมื่อสองพันห้าร้อยกว่าปี...โลกก็เป็นอย่างนี้ เรื่องราวในโลกก็เป็นอย่างนี้ ความคิดความเห็นของคนในโลกก็จะเป็นอย่างนี้  อย่างที่เราบอกว่าห้าสิบปีก่อนกับเดี๋ยวนี้ไม่เหมือนกัน

แล้วก็คิดดู เมื่อสองพันห้าร้อยปีก่อน มันไม่เหมือนอย่างนี้หรอก ความคิดความเห็นไม่เหมือนกัน ... ทำไมเราไม่ไปเกิดตอนนั้น ยังปล่อยเวลาให้ล่วงเลยๆ เพราะอะไร ...เพราะไม่มีความเพียร เพราะไม่มีปัญญา เพราะไม่เจริญอยู่ในองค์มรรค 

แล้วก็จะเป็นอย่างนี้ จนจะล่วงเลยๆๆ ...จนหมดสิ้นศาสนาหรือเปล่า จนล่วงเลยจนหมดสิ้นพุทธศาสนา อายุศาสนา แล้วมาอยู่ในสุญกัปหรือเปล่า อยู่ในกลียุคหรือเปล่า ...เพราะปล่อยให้ชีวิตไหลผ่านไปวันๆ แบบไม่มีสาระแก่นสาร ปล่อยให้จิตมันหาสิ่งที่ไม่มีสาระมาเป็นสาระแก่นสาร 

น่ากลัว ...ภัยในวัฏฏะสงสารนี่น่ากลัว น่ากลัวกว่าที่เราจะคิดได้ กว่าที่จิตมันจะคิดได้ ... เพราะจิตมันจะไม่เคยคิดในแง่นั้นเลย  คิดแต่ว่าความสนุก สุข สบาย มีอยู่ที่ส่วนไหนมุมไหนของโลก มีอยู่ที่มุมไหนส่วนไหนของสถานที่ มีอยู่ในส่วนไหนมุมไหนของสัตว์บุคคล มันจะไปหา ไปเสพเอา ไปสร้างขึ้น 

มันคิดได้อยู่แค่นั้น จิตน่ะ ... ได้ก็ดีใจ ไม่ได้ก็เสียใจ ได้แล้วหายไปเป็นทุกข์ ไม่รู้  หมดไปหาใหม่ๆ หาได้แล้วไม่พอ หาได้แล้วต้องดีกว่านั้น  นี่คือหน้าที่ของจิตที่มันทำงาน ได้ก็โกรธ ไม่ได้ก็โกรธ ความสุขหายไปก็หงุดหงิด พอได้ความสุขเกิดขึ้นใหม่ก็ดีใจ หายไปก็หงุดหงิด ขุ่นมัว ขุ่นมัวแล้วพยายามดิ้นรนใหม่ 

นี่คืองานของจิต มันทำงานอยู่แค่นี้ ต่ออายุสืบเนื่องไป ข้ามภพ ข้ามโลก กระโดดข้ามจากโลกนี้มาโลกนั้น กระโดดจากโลกนั้นมาโลกนี้ ไม่เหน็ดเหนื่อยเมื่อยหิวแต่ประการใด

เกิดใหม่ตายใหม่...ลืม มาเกิดใหม่ ของเก่าลืมหมด ... ตอนจะตาย ก่อนจะตาย ทุกคนว่า 'ไม่เอาแล้ว ไม่อยากเกิดอีกแล้ว ทุกข์เหลือเกิน ทรมานเหลือเกินร่างกายนี้' ... ก็เห็นนอนสบาย ตายแล้วลืม ...ได้แค่บ่น เบื่อๆ อยากๆ อยู่อย่างนั้นน่ะ เพราะเป็นผู้ที่ไม่ตรงต่อองค์มรรค

อย่าไปมองว่ามรรคหรือการปฏิบัติเป็นเรื่องของพระ เป็นเรื่องของพระอริยะ ท่านเกิดมาเป็นพระอริยะโดยตรง...ไม่ใช่  นี้เป็นเรื่องของสัตว์โลก ที่มีกาย ที่มีใจ ที่มีขันธ์ห้า ...ธรรมนี้เป็นสาธารณธรรม มรรคเป็นสาธารณธรรม ไม่ใช่เป็นธรรมปัจเจกบุคคล หรือว่าจำเพาะพระพุทธเจ้าหรือผู้ที่ถูกกำหนดมาเป็นพระอริยะ ไม่มีอ่ะ ...เป็นสาธารณะ

อดทน ตั้งใจทำ ...ไม่ต้องไปนึกถึงวันเวลา ไม่ต้องไปสร้างเงื่อนไข หาเงื่อนไขมาปิดบัง  น้อมกลับ ระลึกกลับ เพราะกายมีอยู่ตลอด ...แค่กลับมารู้สึกตรงนี้ ที่นั่งก็เห็นอาการนั่ง รู้อาการนั่ง กำลังนั่ง แล้วก็ดูความรู้สึก ไล่ดูความรู้สึกในการนั่ง มีอะไรปรากฏขึ้น 

มันแข็ง มันตึง มันแน่นตรงไหน ก็แค่รู้ ก็แค่ดูมันเฉยๆ ...ไม่ต้องไปวิพากษ์ ไม่ต้องไปวิจารณ์ ไม่ต้องไปสงสัยลังเล ไม่ต้องไปหาความจริงอะไรนอกเหนือจากนี้  แค่รู้ว่านั่ง เห็นอาการโดยทั่วของการนั่ง ด้วยความละเอียด เบา สุขุม อ่อนน้อม ไม่บังคับ ไม่เกร็ง ไม่เครียด ธรรมดา

รู้ไปธรรมดา แล้วก็รักษาความรู้คู่กับกาย ให้มันยืดยาว ให้มันเนิ่นนาน ให้มันต่อเนื่อง ...ไอ้เผลอ ไอ้ลืม ไอ้หายไปน่ะ มันเป็นเรื่องธรรมดา มองเป็นเรื่องธรรมดา ...เป็นทุกคน 

ก็เอาใหม่ รู้ใหม่ เพราะกายก็ไม่หายไปไหนหรอก ...มันหายไปแค่จิตน่ะ จิตมันแค่ลืม หายไป  ...แต่กายไม่ได้หายไปพร้อมกับจิตนะ มันก็ยังมี ทุกครั้งที่กลับมาระลึกรู้

เนี่ย เรียกว่าเพียร เพียรรู้ เพียรระลึกรู้อยู่ในที่นี้ ไม่ท้อถอย ไม่โลเล ไม่เหลาะแหละ ไม่อ่อนแอ ไม่ขี้เกียจ ไม่ทอดธุระ มรรคผลก็งอกงามเอง  วัดด้วยตัวเองได้เลย ไม่ต้องไปถามคนอื่นเลยว่าได้ผลรึยัง ...จิตใจก็จะหนักแน่นมั่นคง อยู่กับเนื้อกับตัวได้ด้วยตัวของมันเอง 

จากที่มันรู้สึกว่า ทุกครั้งที่กลับมาอยู่กับตัวเอง ทุกครั้งที่กลับมาอยู่กับกายปัจจุบันแล้วมันจะอึดอัด มันจะรู้สึกร้อน มันรู้สึกว่าไม่สบายกาย ไม่สบายใจ ...ต่อไปมันจะเห็นผล เกิดความมั่นคง หนักแน่น ร่มเย็น เป็นกลาง อยู่ภายในนั้นแหละ  

แล้วมันเริ่มเข้าใจสภาพแวดล้อม ตั้งแต่สิ่งที่มันรู้...ข้างหน้ามันคือกายออกไปตามความเป็นจริง แยกแยะ ทั้งจริงและเท็จ ทั้งปลอม ทั้งปลอมปน ทั้งเจือปน ทั้งแอบปน มันเห็นหมดน่ะ ...มันมีหมดน่ะ และก็ทั้งที่ตั้งใจจะเอามาปนด้วย มันก็เห็น

จนคัดกรองออก จนเหลือแต่จริง ของจริง ...เพราะอะไร มันเห็นอะไร ...มันเห็นว่าของปน ของปลอมปน ของที่เจือปน หรือไปเอามาปนเอง ...ล้วนเป็นพิษ เป็นโทษ เป็นทุกข์  ทุกครั้งที่มันเอามา ทุกครั้งที่ออกมา ทุกครั้งที่ไปหามา

แต่เมื่อใดที่อยู่กับความเป็นจริง หรือสิ่งที่มันจริงแท้ๆ ล้วนๆ หรือว่ากายก็กายล้วนๆ ไม่มีแอบเป็นเรา ไม่มีแอบเป็นหญิง ไม่มีแอบเป็นชาย ไม่แอบเป็นคน ไม่แอบเป็นสัตว์ ไม่แอบเป็นสวย ไม่มีแอบเป็นไม่สวย ไม่มีแอบเป็นพระเป็นฆราวาส  ...ไม่แอบตรงไหน เป็นกายล้วนๆ คือ เย็นร้อนอ่อนแข็งๆ 

จะรู้เลยว่า ตรงนี้ ที่นี้ รู้ตรงนี้ รู้อยู่ที่นี้ตรงนี้กับธรรมอันนี้ ไม่มีทุกข์ ไม่เกิดทุกข์ แล้วก็ไม่เป็นทุกข์ ...เพราะอะไร  เพราะที่นี้ไม่มี 'เรา'  ...เมื่อไม่มีเราที่นี้ ไม่ต้องไปหาทุกข์ว่ามันจะเกิดตรงไหน หรือเป็นทุกข์กับอะไร เพราะไม่มีเรา 

แม้จะให้มันเห็นแค่ขณะเดียวก็ตาม ดีแล้ว สมควรแล้ว  แล้วทำให้มากขึ้นไปเรื่อยๆ ต่อเนื่องกับกายตามความเป็นจริง มากขึ้นๆ นานขึ้นๆ ต่อเนื่องขึ้นๆ จนเป็นเส้นตรง ...นี่เรียกว่าผู้บำเพ็ญนั้นกำลังทำศีลนี้ให้เป็นศีลวิสุทธิ เพื่อเข้าสู่กายวิสุทธิ ด้วยจิตตวิสุทธิ อย่างที่บอก 

เห็นมั้ยว่าสมัยก่อนนะถ้าใครมาพูดเรื่องวิสุทธิ เรื่องกายวิสุทธิ จิตวิมุติ จิตหลุดพ้นนี่...หูย ฟังไม่ได้ ของมันเกิน เกินกำลัง เป็นเรื่องของพระอริยะท่าน ไม่ใช่เรื่องของเราที่จะมาพูดกันถึง หรือทำถึง  ต้องขึ้นหิ้งบูชาไว้ แตะต้องไม่ได้ มรรคผลนิพพานนี่ 

มันไม่ใช่อย่างนั้น ...มันอยู่ตรงนี้  ทุกคนมี มีอำนาจ มีสิทธิเพียงพอ มีศักยภาพพอ ... ขอให้ทำจริง ปฏิบัติจริง และตรงต่อศีลสมาธิและปัญญา  มันไม่ใช่ของที่ไกลเกินเอื้อม หรือยากเกินทำได้เข้าถึง อย่างที่เคยคิดเคยเข้าใจ


(ต่อแทร็ก 9/10)