วันจันทร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

แทร็ก 9/16 (1)



พระอาจารย์
9/16 (551219A)
19 ธันวาคม 2555
(ช่วง 1)


(หมายเหตุ  :  แทร็กนี้แบ่งโพสต์เป็น  2  ช่วงบทความ)

พระอาจารย์ –  การมาเกิดน่ะ มันไม่ดีทั้งนั้นแหละ ...เมื่อไหร่ที่มันไม่เกิดน่ะดี

คือมาเกิดแล้วมันหาความแน่นอนไม่ได้ ...มันไม่รู้ว่าจะมาเกิดยังไง เมื่อไหร่ ที่ไหน ภพชาติมันหาความแน่นอนไม่ได้  เพราะว่ากรรมเป็นตัวปรุงแต่งหลัก

แล้วมันทำอะไรมามั่งแต่ละคนนี่ มันทบทวนไม่ได้หรอกว่าทำผิดทำถูกอะไรมากกว่ากัน  แล้วก็เจตนาร้ายเจตนาดีที่ผ่านมา มันลืมๆ กันหมดแล้ว

พวกนี้มันไม่หายไปไหนหรอก ...มันประมวลผล ส่งผล มาเป็นปัจจัยปรุงแต่งให้เกิด ก่อกำเนิดรูปลักษณ์ ขันธ์ นามขันธ์ขึ้นมา ..หาความแน่นอนไม่ได้หรอก ความปรุงแต่งสัพเพเหระ

กรรมเป็นเรื่องที่อจินไตย มากมายมหาศาล ...ตราบใดที่ยังไม่หยุดทำกรรมน่ะ มันก็สะสมเพิ่มไปเรื่อยๆ น่ะ จนกว่าจิตมันจะหยุด...มโนกรรมนี่ เป็นตัวหลัก

มโนกรรม...หยุด หยุดสร้างกรรมใหม่ ..ที่เหลือไปก็อยู่ด้วยกรรม วิบากกรรม ในอดีต กับกรรมในปัจจุบันส่งผล ...มันก็มีวันหมด มีวันจบ

แต่มือหนึ่งรับ...มือหนึ่งทำ ...ไอ้มือทำกับมือรับนี่ มือทำมันมากกว่ารับ  เพราะนั้นภพชาตินี่มันหาจุดสิ้นสุดไม่ได้เลย

ตราบใดถ้ายังไม่มีปัญญา ไม่อยู่ในองค์มรรค ไม่เข้าใจเรื่องราวของมรรคแล้วนี่ ...จิตมันไม่ยอมหยุดหรอก...ด้วยตัวของมันเองน่ะ ด้วยความไม่รู้น่ะ

เพราะความไม่รู้...มันจึงแสวงหา  เพราะความไม่รู้...มันจึงไม่รู้จักคำว่าที่สุด อยู่ที่ไหน ...มันก็หาไปจนกว่าจะเจออะไรที่มันต้องการน่ะ

พอมันไม่ได้แล้วมันก็ไม่พอ ไม่พอมันก็เข้าใจว่ามีที่สุดอีก มันก็ไปเรื่อยไป ...หยุดเมื่อไหร่ก็พอเมื่อนั้นน่ะ

เพราะนั้นการที่จะสอนจิตให้หยุดให้อยู่นี่ มันต้องอบรมด้วยศีลสมาธิปัญญาเท่านั้น  วิธีการอื่นมันไม่หยุดหรอกจิต ร่อนเร่ไปเรื่อย ไม่มีหัวไม่มีท้าย

เพราะนั้นน่ะ หลักศีลสมาธิปัญญานี่ต้องจำ ต้องอยู่ด้วยศีล อยู่ด้วยสมาธิ อยู่ด้วยปัญญา ในการดำรงชีวิต  มันถึงจะลดน้อยถอยลง...ภพชาติที่จะมีหรือเป็นข้างหน้านี่มันจะน้อยลง

พอมันน้อยลงถึงขีดระดับที่มองเห็นด้วยตัวของจิตเองแล้วนี่ มันก็จะรู้เองว่าอริยมรรคบังเกิดแล้ว 

แต่ตราบใดที่ตัวจิตนี่ มันยังมองไม่เห็นถึงที่สุดของการเกิดนี่ แปลว่า มันก็ทำความเบาบางไปเรื่อยๆ ...รับมากกว่าหาใหม่

เพราะนั้นว่าเวลาประสบพบพานอะไร ภายในก็ตาม...จากอดีต ในความคิด สัญญาอารมณ์ก็ตาม ...นี่ พยายามอดทน 

อดทนที่จะไม่ไปร่วมด้วยกับมัน อดทนที่จะยอมรับมัน เป็นกลางกับมัน ตั้งมั่นอยู่ให้ได้...อยู่ด้วยสมาธิ

เมื่อมีเหตุอะไรประสบพบพานขึ้นมานี่ จะดีใจ จะเสียใจ จะพอใจ จะไม่พอใจ ...ตั้งมั่น แล้วเป็นกลางให้ได้มากที่สุด ไม่เข้าไปแตะต้องข้องเกี่ยว ...ยอมรับ แล้วก็วาง อยู่อย่างนี้

มันก็จะไม่ก่อกรรมใหม่ มันก็จะไม่ผูกกับกรรมเก่า ...มันก็จะค่อยๆ ผ่อนคลาย ชดใช้หมดไป พร้อมกับเกิดปัญญาญาณไปในตัวด้วย ปัญญาก็เกิดด้วย...ด้วยจิตที่ตั้งมั่นอยู่กับทุกสิ่ง

เพราะนั้นถ้าดำรงชีวิตอยู่ในหลักเกณฑ์นี้ มันก็มีวันจบ ไม่ชาติใดก็ชาติหนึ่ง ...แล้วมันก็จะมองเห็น จิตผู้ไม่รู้มันก็จะเห็นทิศทางที่ชัดเจน ...นั่นแหละ คำว่าทิศทางที่ชัดเจนคือมรรค

แล้วมันก็จะเห็นปลายทางของมรรคอยู่ที่ไหน ...จากที่มันมองไม่เห็นเลย เพราะว่ามันกว้างไกลเหลือเกิน...การเกิด การตาย การไม่จบสิ้นของจิต

แต่มันเริ่มเห็นปลายจิตต้นจิต...เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้นน่ะ ภพชาติจะเหลือเท่านั้นน่ะ เท่าที่ต้นกับปลายจิตอยู่ มันก็จะวนเวียนอยู่ตรงนั้น ...แล้วก็ค่อยๆ หดตัวลงมา

ด้วยญาณปัญญาที่ไม่เข้าไปแตะต้องข้องแวะ ครอบครอง หมายมั่น ในสิ่งที่มี ที่จะมีข้างหน้า หรือที่มีไปแล้วข้างหลังนี่ ...มันเป็นอุปาทานภพ มันเป็นอุปาทานขันธ์ทั้งหมด

มันก็ยังคงเหลือแค่ขันธ์ปัจจุบันเท่าที่จะสำแดงอาการ ...แล้วก็มาสืบค้นทบทวนอยู่ในขันธ์ปัจจุบัน เหมือนกับตีมันให้แตกน่ะ ตีโจทย์ที่มันขมวดปมอยู่

มีห้าเชือก เชือกห้าเส้นมัดรวมกัน ตีให้แตก คลี่ออก เป็นเส้นๆๆๆ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ แตกออกเป็นห้ากองห้าส่วนในปัจจุบัน ...มันก็จะเห็นความจริงในปัจจุบันของขันธ์

เพราะนั้นว่างานของจิต...มันก็แทนที่มันจะมุ่งไปข้างหน้า มุ่งไปข้างหลัง หานู่นหานี่ ทำนู่นทำนี่ ...มันก็มุ่งอยู่ในปัจจุบัน

มันเปลี่ยนจากงานที่มันก่อร่างสร้างภพ เป็นงานที่ทำความรู้แจ้งกับปัจจุบัน แยกแยะจำแนกขันธ์ห้า ผัสสะหก อายตนะหก ธาตุสี่ พวกนี้ แยกหมด ...เป็นงานหลักๆ

แก้ปมของขันธ์ห้า ที่มันมาขมวดรวมกัน แล้วก็ด้วยความไม่รู้มันก็เอาขันธ์ห้ามาเป็นเราซะอย่างงั้น ...เมื่อใดที่มันขมวด มันก็จะไม่เห็นความเป็นขันธ์แต่ละกองๆ

แต่เมื่อมาจดจ้องจดจ่ออยู่กับปัจจุบัน เพียรเพ่ง สังเกต แยบคาย ถี่ถ้วน มันก็จะเห็นความแยกออกจากกันในแต่ละส่วนๆ เป็นกองๆๆ ห้ากอง

แล้วก็มีความเกิด..ตั้ง..ดับเอง เป็นปกติวิสัยของขันธ์นั้นๆ ไม่ได้มีความหมายใดความหมายหนึ่งในการเกิด ในการตั้ง ในการดับไปนั้นๆ

ไม่มีความเป็นเจ้าของ ไม่มีความเป็นสิ่งที่จับต้องครอบครองได้โดยสัตว์และบุคคลใดก็ตาม ...มันจะเห็นความจริงในขันธ์ห้าอย่างนี้

ตรงนี้แก้ปมการก่อเกิดขันธ์ใหม่ ด้วยความไม่รู้ ...เพราะจิตมันไม่รู้ขันธ์ตามสภาพตามความเป็นจริงอย่างนี้ เหล่านี้ มันจึงไปก่อร่างสร้างขันธ์ใหม่ล่วงหน้าไว้รองรับอนาคต

มันก็หา...โดยจะใช้ขันธ์ห้าของเราในอนาคตนั้นน่ะ...เป็นเครื่องมือในการแสวงหาอะไรที่มันยิ่งกว่าๆ ขึ้นไปเรื่อยๆ ด้วยความไม่รู้

เพราะนั้นงานของโลก งานของคนในโลก งานของจิตของคนในโลกเนี่ย ...มันไปอยู่ที่มุ่งไปในอดีตอนาคตตลอดเวลา แล้วก็มุ่งออกไปที่เรื่องราวของสัตว์บุคคลวัตถุข้าวของภายนอกตลอดเวลา

มันจึงแก้ปม..ที่มันค้าง ที่มันคา ที่มันข้อง ที่มันยึด ที่มันหมายแบบผิดๆ คือขันธ์ห้านี่...ไม่ได้

เมื่อมันแก้ตรงเหตุแห่งขันธ์ห้า...ที่มันมองไม่เห็นความเป็นจริงของขันธ์ห้านี่ไม่ได้เมื่อไหร่นี่...

การก่อเกิดไปแบบไม่จบไม่สิ้นในการที่จิตมันไปสร้างขันธ์ห้าขึ้นมาใหม่ เมื่อขันธ์ห้านี่ดับ แตกสลายหรือตายไปนี่ ...ไม่มีคำว่าพอเลย ไม่มีคำว่าหยุดได้

เพราะนั้นการเกิดมาก็ต้องเพียรพยายาม ภาวนาให้มาก...มากขนาดไหน พระพุทธเจ้าว่ามากขนาดลมหายใจเข้าลมหายใจออกน่ะ มันมากขนาดนั้น ...คือตลอดเวลา

สร้างความเคยชิน สร้างอุปนิสัย อุปวาสนา อุปบารมีขึ้นมา จนมันเป็นนิจ จนมันช่ำชอง จนมันชำนาญ จนมันเชี่ยวชาญ จนมันแจ้ง จนมันชัด จนมันเข้าใจ จนมันวาง จนมันปล่อย ความหมายมั่นในที่ทั้งปวง

เรียกว่าที่ใดที่หนึ่งก็ไม่มีความหมายมั่นเลย ที่ไหนก็ที่นั้น...มีความเกิดแล้วก็มีความดับ แค่นั้นเอง ...ในการเกิดในการดับไม่ใช่ของใคร ไม่ใช่สมบัติของใคร

จิตมันเห็น จิตมันก็จะไม่มีความเข้าไปหมายมั่นในที่ใดที่หนึ่ง ...แม้แต่ปัจจุบันก็หมดจด ก็เกิดความหมดจดขึ้นภายใน

หมดความค้างคา ข้องแวะเกาะเกี่ยว กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง หรือว่ากับธรรมทั้งหลายทั้งปวงนั่นเอง ...หมดการเกาะเกี่ยวในธรรมทั้งหลายทั้งปวง

แล้วก็ปล่อยให้ธรรมทั้งหลายทั้งปวงเป็นไปตามหลักของกฎอนัตตา กฎอนิจจัง กฎทุกขัง  นั่นแหละธรรมในโลกสามโลกนี้ อยู่ภายใต้กฎของไตรลักษณ์...เป็นลักษณะอาการของไตรลักษณ์เดียวกัน

ไม่มีใครเข้าไปแก้ได้ ไม่มีใครเข้าไปเหนือมันได้ ...แม้แต่พระพุทธเจ้าท่านยังแก้ไม่ได้เลย ท่านก็ยอมรับความเป็นสภาพของไตรลักษณ์ มีการเกิดมีการดับ มีการแก่มีการเจ็บมีการตาย

ท่านถือเป็นเรื่องธรรมดา ...ไม่ใช่เรื่องประหลาด ไม่ใช่เรื่องดี ไม่ใช่เรื่องร้าย ไม่ใช่เรื่องถูกเรื่องผิด ไม่ใช่เรื่องที่ควรหรือไม่ควร

แต่เป็นเรื่องจริง เป็นความจริง เป็นสัจจะของโลก เป็นสัจจะของสรรพสิ่งภายในสากลจักรวาล  นี่คือโลก โลกก็คือสากลจักรวาล ในสากลจักรวาลก็ยังมีอรูป อรูปภพ รูปภพอีก ...ก็อยู่ภายใต้กฎเดียวกัน

ตราบใดที่จิตมันยังไม่ยอมรับสภาพความเป็นไตรลักษณ์นี่ ...มันก็ยังไม่ยอมปล่อยหรอก

มันก็เกิดความถือครองครอบครองสิ่งต่างๆ ทั้งที่จับต้องได้ ทั้งที่จับต้องไม่ได้ ...จับต้องได้คือธาตุหรือรูป ...จับต้องไม่ได้ก็คือนาม

เมื่อวานดูข่าวเด็กอายุ 13 มันแทงเพื่อนมันอายุ 14  ตำรวจถามว่าแทงกันทำไม มันว่า “เพื่อศักดิ์ศรี” ...เห็นมั้ย อะไรก็ไม่รู้...เพื่อศักดิ์ศรี

แค่สิ่งที่มันจับต้องอะไรไม่ได้เลยนะนั่น ...แต่มันสามารถทำให้เกิดอกุศลกรรมที่เป็นครุกรรม

เห็นความถือครองของสัตว์โลกด้วยความไม่รู้ไหม มันโง่ แต่มันก็อวดดี ...จิตมันเกิดความอวดดี เกิดมานะว่าถูก ว่าควร ว่าใช่ ว่ามีค่ามีคุณ เป็นที่น่ายกย่องจดจำ

แต่มันหารู้ไม่ว่า แค่เหตุแห่งการกระทำเหล่านี้ ...การเกิดมาชดใช้วิบากกรรม ผลแห่งกรรมนี่ นับภพไม่ถ้วนเลย นับชาติไม่ถ้วนเลย


และไหนถ้าเกิดมาด้วยความโง่เขลาเบาปัญญา แล้วมาซ้ำๆๆๆ ลงในกรรมเดิม เป็นอาจิณกรรม นี่ ...ไม่ต้องถามเลยว่ามรรคผลนิพพานอยู่ที่ไหน


(ต่อแทร็ก 9/16  ช่วง 2)