วันพุธที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2557

แทร็ก 9/13



พระอาจารย์

9/13 (551122C)

(แทร็กชุดต่อเนื่อง)

22 พฤศจิกายน 2555



พระอาจารย์ –  ให้มันตายไปกับกายเดียวนั่นแหละ  ดูซิ จิตมันจะไปไหน มันจะเอาอะไรมาหลอก  มันจะให้ไปหาอะไร มันจะให้ไปที่ไหนไม่ไป  มันจะสรรค์สร้าง เสกสรรอะไรขึ้นมา...ไม่สน

มันหนีไม่พ้นหรอก ...ผู้ที่มีความเพียร ที่จะมีสติระลึกรู้เท่าทันอยู่ในปัจจุบัน จนเหลือเพียงกายเดียวใจเดียว กายหนึ่งจิตหนึ่ง  ...เหมือนเราเดินไปไหนนี่ แล้วมันมีกระจกส่องหน้าอยู่ตลอด มันไม่ไปไหนหรอก มันก็เห็นแต่ตัวมันเดิน ตัวมันยืน ตัวมันนั่ง ตัวมันนอน 

ภาวนาสติจนถึงกับเดินไปเดินมาเหมือนกับมีกระจกอยู่ข้างหน้า มันก็ส่องเห็นแต่ตัวมันเอง นี่เขาเรียกว่ารู้ตัว ทำพูดคิดอยู่ด้วยความรู้ตัว มีความรู้ตัวอยู่ตลอด แนบแน่นอยู่กับปัจจุบัน ไม่ออกจากความรู้สึกตัวในปัจจุบัน

มันก็ไม่ได้ไปไหน แล้วมันก็ไม่ได้อะไร แต่มันจะเข้าใจตัวมันเอง ...ก็มันส่องเห็นแต่ตัวมันเองในปัจจุบัน มันก็จะเข้าใจตัวปัจจุบันว่าคืออะไร เป็นสัตว์เป็นบุคคลอย่างไร เป็นเราเป็นเขาอย่างไร หรือไม่ได้เป็นสัตว์เป็นบุคคล หรือไม่ได้เป็นเราเป็นเขาอย่างไร 

มันก็เห็นอยู่ ณ ที่ตรงนี้ ...ไม่ต้องไปถามใคร ไม่ต้องไปวิเคราะห์คิดพิจารณาแต่ประการใด ... มันเห็นซ้ำแล้วซ้ำอีกๆ ไม่ออกไปเห็นที่อื่น ไม่ออกไปรู้ที่อื่น มันก็เกิดความลึกซึ้งแยบคายขึ้นไปตามลำดับของมัน

เมื่อมันลึกซึ้งแยบคายในนี้ ในกายนี้ ในเดี๋ยวนี้ ...อะไรที่มันออกนอกนี้ อะไรที่กระจัดกระจายไปในอดีตในอนาคต มันก็คลี่คลายลง คือมันน้อยลงไปเอง ...เริ่มเห็นความไม่มีสาระ ไม่มีความจริง เป็นเพียงมายาของจิตเท่านั้น 

เป็นแค่ภาพลวงภาพหลอน จะเป็นภาพอะไรก็ได้ ก็คือภาพ มันเป็นภาพอะไรก็คือภาพ  มันไม่มีอะไรในภาพนั้นหรอก ไม่มีอะไรจริงในภาพนั้นหรอก เหมือนภาพเงาในกระจกน่ะ  รูปก็คือรูป ภาพก็คือภาพ 

ในความคิดก็เหมือนกับเราไปส่องกระจกดู แล้วเราก็เห็นภาพของตัวเอง มันก็เป็นแค่ภาพ ไม่เป็นอะไรจริง ทำไมต้องไปตื่นเต้นตกใจดีใจเสียใจ กังวลอะไรกับมัน ...มันก็จะเห็น มันก็จะเข้าใจเอง ว่าทั้งหมดมันเป็นแค่มายา ที่จิตมันปรุงขึ้นมา สังเคราะห์ขึ้นมา 

มันไม่มีอะไรเป็นแก่นเป็นสารหรอก ไม่มีอะไรเป็นสาระ แล้วยังไปให้ความสำคัญจริงจังมั่นหมายกับมันเพิ่มขึ้นอีก  ...ที่ว่าเพิ่มขึ้นอีก เพราะมันเคยหมายมั่นอยู่แล้ว แล้วมันก็ยังหมายมั่นอยู่ ...ก็อย่าไปเพิ่มมันอีก พยายามถอดถอนให้มันลดน้อยถอยลง

เพราะนั้นการที่จะให้ลดน้อยถอยลง มันต้องมีหลักยึดจับอยู่...เพื่อที่จะไม่เข้าไปให้ค่าให้ความหมายกับมันทับทวีคูณขึ้นมาอีก ...นี่แหละท่านเรียกว่าถอดถอนความเชื่อ ความจริงจังกับสิ่งที่ไม่สมควรเข้าไปจริงจังอย่างยิ่ง คือเรื่องราวในจิต หรือสิ่งที่ออกมาจากจิตผู้ไม่รู้

ยืน...รู้ เดิน...รู้ นั่ง...รู้ นอน...รู้ ขยับรู้ ตึงแน่นปวด...รู้ หนักเบา...รู้ ไหวไปส่ายมา...รู้  รู้มันแค่นี้ รู้มันอยู่ที่นี้ ไม่ออกไปรู้ที่อื่น

ถ้าภาวนามันจริงๆ จังๆ อยู่กับกายใจปัจจุบันนี่ เดี๋ยวจะรู้เองว่าความสงสัยมันหายไปเอง ความลังเลในการคิดนู่นค้นนี่ ก็หมดไปเอง 

มันก็ไม่เห็นอยากรู้อะไร เพราะไม่มีอะไรที่มันอยากรู้อีก  สิ่งที่มันจะรู้คือสิ่งที่อยู่ต่อหน้ามัน...คือกายนี่ มันยังไม่รู้จักเลย อยู่กันมาตั้งแต่เกิดยังไม่รู้จักกายเลย ใช้มันมาตั้งแต่เกิด...ยังไม่รู้จักกายตามความเป็นจริงเลย ยังไม่รู้เลยว่ามันเป็นอะไรกันแน่

เหมือนใกล้เกลือกินด่างน่ะ ใกล้หูฉลามไปกินวุ้นเส้น อะไรประมาณนั้น  ของดีมีอยู่ ของจริงมีอยู่ แต่กลับไปทุ่มเทค้นหาของไม่จริงมาประดับประดา  บริกรรมภาวนาตามตำรา ภาวนาตามเทรนด์กันไป ตามค่านิยมของนักภาวนาไป

ภาวนาตามค่านิยมของคนภาวนานี่ เขาเรียกว่าอะไรรู้มั้ย  เขาเรียกว่า สีลัพพตปรามาส  เขาบอกว่าต้องได้อย่างนี้ๆ นะ เขาบอกว่าต้องเห็นอย่างนี้ๆ นะ มันเป็นตามลำดับ ต้องเห็นอย่างนี้ๆ นะ ถ้าไม่เห็นอย่างนี้แสดงว่าไม่ใช่ ไม่ถึงนะ 

มันเลยกลายเป็นการภาวนาตามตำราเด๊ะเลย ตามคนเขาพูดทุกอย่างเลย  จริงหรือเปล่าไม่รู้ ตัวเองยังยืนยันไม่ได้เลย ...ถ้าตัวเองยังยืนยันไม่ได้ ให้รู้ไว้เลย ถูกหลอกแล้ว 

แล้วยังไปให้คนอื่นมายืนยันสำทับเพื่อให้เกิดความมั่นใจในตัวเองขึ้นมาเหรอ ให้มั่นใจในกิเลสของตัวเองเหรอ ให้มั่นใจในความเป็นเรา ของเราเหรอ ...เราไม่ยืนยัน เราไม่ยืนยันว่าความเป็นเรา สิ่งที่ได้จากเราสร้าง เราทำ เราได้ เราหาหรอก ... มันต้องยืนยันได้ด้วยใจรู้ใจเห็นของตัวเจ้าของ เป็นปัจจัตตัง

อย่าห่างกาย อย่าห่างรู้ในปัจจุบัน อย่ามัวแต่หลงเพลินหาค้น  แล้วก็เพลิดเพลินไปกับการหาการค้นนั้น เพลิดเพลินไปกับความคิด เพลิดเพลินไปกับอนาคต เพลิดเพลินไปกับธรรมอันหอมหวานหอมหวน ที่มันคิด ที่มันจำอยู่

อะไรจริง อะไรไม่จริง เอาให้มันแยกให้ออก มันจะได้ละสิ่งที่ไม่จริงออกไป ...ทีละเล็กทีละน้อย ค่อยๆ ถอดถอนไปกับความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่ไม่จริงแต่กลับว่าจริง 

มันคือความยึดมั่นถือมั่น ...มันไม่ได้ละไม่ได้ถอดถอนกันได้ง่ายๆ หรอก ความจริงในจิต ความจริงในความคิด ความเป็นจริงในเรื่องราวต่างๆ นานา ความเป็นจริงในสภาวะนั้นสภาวะนี้ ...มันไม่ใช่ถอดถอนกันง่ายๆ หรอก มันตราตรึงแนบแน่นอยู่ในหัวใจของจิต

แต่อาศัยการรู้ การหยั่ง การยึดไว้กับความจริงของกายปัจจุบัน รู้ปัจจุบันนั่นแหละ มันจึงจะค่อยๆ จางคลายจากสิ่งความยึดมั่นถือมั่น ในสิ่งที่ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น...ที่ไม่จริง

แล้วการภาวนามันจึงจะอยู่กับความเป็นจริงตลอดเวลา ด้วยการยอมรับ ไม่ขัดขืน ...ไอ้ที่มันขัดไปขืนมานั่นแหละ เพราะมันจะไปอยู่กับของไม่จริง ที่มันเชื่อว่ามีจริงเป็นจริงนั่นแหละ 

แต่เมื่อมาอยู่กับสภาพจริงแล้วนี่ มันไม่ยอม จิตผู้ไม่รู้ จิตอวิชชา มันไม่ยอม มันไม่ยอมรับความจริง มันไม่ยอมอยู่กับความจริง  มันจะปฏิเสธความเป็นจริง มันจะหนีจากความเป็นจริง 

มันหนีไปหาทุกข์ ไปก่อทุกข์ ไปสร้างทุกข์ ไปสร้างภพ ไปหาอะไรที่มันดูดีกว่านี้ เลิศกว่านี้ สุขกว่านี้ ประเสริฐกว่านี้ ดีกว่านี้ ...ตั้งแต่ภายนอกจนภายใน

เหมือนกับเราไปอยู่ในที่ไหนไม่ถูกใจ มีสภาวะแวดล้อมไม่ดี ก็หนี ก็ขยับย้ายก้นลุกหนี ... เฉกเช่นเดียวกันกับภายใน จิตมันก็หนีความเป็นจริงในปัจจุบันกาย  หนีไปหากายข้างหน้า กายข้างหลัง จิตข้างหน้า จิตข้างหลัง ที่มีอารมณ์นั้น ที่มีอารมณ์อย่างนี้ 

ภายในก็หนี ภายนอกก็หนี หนีความเป็นจริงอยู่ตลอดเวลา  แล้วก็พยายามจะไปปั้นความไม่จริงให้มันจริงให้ได้  หลอกกันไปก็หลอกกันมา คนนึงหลอก อีกคนนึงก็ถูกหลอก อีกคนนึงถูกหลอกแล้วก็ไปหลอกคนอื่นต่อ 

สืบทอดกันเป็นกัมมพันธุ กัมมทายาโท หลงวนอยู่อย่างนั้นน่ะ ผูกกันเป็นหางว่าวเลย จนเกิดความหมักหมมทับถมเป็นความเชื่อ ความมั่นคงของอุปาทาน ของความยึดถือ ของมานะ ของทิฏฐิ

การละการเลิกการถอดถอนกิเลส จึงกลายเป็นของยากไป เพราะว่า มันไม่ได้ภาวนาตั้งแต่แรกเพื่อการถอดถอนเลย  แต่เป็นการภาวนาเพื่อการสะสม พอกพูน  

เหมือนดินพอกหางหมูน่ะ มันพอกเข้าไปจนไม่เห็นหางหมูเลยน่ะ  มันพอกแล้วพอกอีก พอกแล้ว...หาอีก ซ้อนๆๆ กันไป จนมานั่งบ่นว่าภาวนาแล้วไม่เห็นได้อะไรสักที ...ขนาดนั้นยังไม่รู้เลย มันพอกจนมองอะไรไม่เห็นแล้ว ยังอดไม่ได้ที่จะหาอะไรมาพอกต่อไปอีก

เนี่ย อนุสัยเป็นอย่างนี้ ในการกระทำด้วยการค้นหาและหนี  แก้...แก้ตัว แก้ตัวเองน่ะ กิเลสแก้ตัว แล้วก็เอาไอ้ตัวที่แก้ได้มาอวดว่าแก้ได้แล้ว แก้ตัวได้แล้ว เอาไอ้ตัวที่ดูเหมือนแก้ได้น่ะมาอวด มาอวดว่าวันนี้พอกดินใส่หางหมูไปกี่ชั้นน่ะ เอาไอ้สิ่งนั้นน่ะมาอวดกัน มาคุยกัน คือผลการภาวนาของแต่ละบุคคลน่ะ

แต่ถ้าภาวนาเหลือแค่กายใจ รู้แค่กายใจ มันไม่มีอะไรจะคุยหรอก  มีแต่รู้ว่านั่ง...แล้วก็จบอยู่ที่รู้ว่านั่ง ไม่มียืดไม่มียาว ไม่มีหน้าไม่มีหลัง ไม่มีอดีตไม่มีอนาคต ...ยังคงเหลือแค่ปัจจุบันรู้กับปัจจุบันกาย 

นั่นแหละภาวนา ยืนเดินนั่งนอน ก็รู้แค่ยืนเดินนั่งนอนนั่นแหละ  อย่าไปรู้นอกนี้ อย่าไปรู้เกินนี้ อย่าไปหาอะไรเกินนี้ นั่นแหละ บทภาวนา

เราก็ไม่รู้ว่าวิธีภาวนาคืออะไรน่ะ รู้แต่ว่า ยืนก็รู้ว่ายืน นั่งก็รู้ว่านั่ง เดินก็รู้ว่าเดิน  มีความรู้สึกอะไรผุดโผล่ขึ้นมาภายในกายก็รู้ มันจะขยับ มันจะไหว มันจะส่าย มันจะกระเทือน มันจะกระเพื่อม มันจะกระแทก มันจะหนัก มันจะเบา มันจะตึง มันจะแน่น ก็รู้...รู้อยู่แค่นี้ 

ไม่ไปส่ายแส่หารู้อื่น ด้วยการคิดและจำ ...มันอยากจะไปก็ไม่ไป มันอยากจะหาก็ไม่หา เพราะทัน  แล้วอดทนต่อความอยากรู้อยากเห็น ในสิ่งที่นอกเหนือจากกายใจปัจจุบัน 

ทำอยู่แค่นี้...ทั้งชาติ  ตั้งแต่ต้นจนจบก็ทำอยู่แค่นี้ ...ทำแบบโง่ๆ ไม่รู้ไม่ชี้กับอะไร แล้วก็ไม่ได้ได้อะไร ไม่ได้หวังว่าจะได้อะไร ไม่เอาอะไร มันจะให้เอาก็ไม่เอา มันจะให้หาก็ไม่หา มันจะให้เก็บอะไรไว้ก็ไม่เก็บ ...นั่นแหละภาวนา อยู่ที่กาย อยู่ที่รู้

ใครอยากไปไหนก็ไป ใครอยากได้อะไรก็ได้ไป ช่างเขา ไม่ต้องไปบ้าเห่อ ... เหมือนเขาใส่กางเกงตูดขาดเข่าขาดก็ไปบ้าเห่อใส่ตามเขา ทำไมต้องไปเห่อตามกัน  กลัวไม่เหมือนเขารึไง กลัวเขาไม่รับเป็นพวกเดียวกันรึไง 

เราก็รู้กายรู้ใจของเราอย่างนี้ พอแล้ว จำกัด จำเพาะ ... ท่านเรียกว่ารู้จำเพาะกาย รู้จำเพาะจิต จึงจะเกิดปัจจัตตัง ...ถ้ารู้ไม่จำเพาะกาย ไม่จำเพาะจิตนี้ ปัจจุบันนี้ มันไม่เกิดปัจจัตตัง มันจะไปแจ้งในที่อื่น 

ถ้ามันแจ้งในที่อื่นน่ะ เดี๋ยวเป็นเรื่อง เดี๋ยวเป็นเรื่องของเราแล้ว ... ถ้ามันไปแจ้งไปเข้าใจในที่อื่นนะ เดี๋ยวเป็นเรื่องของเขา เรื่องคนโน้นคนนี้ไปเรื่อย

เพราะนั้นเวลาพวกเราอยู่ในโลก มันไปแจ้งที่อื่น มันถึงมีแต่เรื่อง... ใครทำอะไรนี่แจ้งไปหมด รู้ไปหมด ไม่ต้องต้องเจอหน้าเห็นหน้ากันเดี๋ยวนี้ก็มีโทรศัพท์ มีอินเตอร์เน็ท มีแอ็พเอิ๊บอะไรเยอะแยะ 

รู้ไปหมด รู้ไปทั่ว รู้กระจัดกระจาย แสนรู้ ชอบรู้ ...แต่ทุกข์นี่เต็มหัวใจเลย จากความรู้เหล่านั้น

เราอยู่คนเดียวที่นี่ ไม่คุยไม่พูดกับใคร ใครมาก็พูดแต่ศีลสมาธิปัญญา ปัญญาสมาธิศีล ยืนเดินนั่งนอนรู้...จบ แล้วก็ไป ไม่เห็นทุกข์เลย เพราะไม่รู้เรื่องอะไรมาก แล้วไม่อยากจะรู้อะไร 

มันจะไปเกิด มันจะไปตาย มันจะไม่ไปเกิด มันจะไม่ไปตาย มันจะไปป่วยไปไข้ไปถูกด่าไปถูกตี ไม่รู้แล้ว  เพราะไม่ได้ยิน ไม่สน และก็ไม่อยากจะไปรู้ด้วย ... ก็ไม่รู้สึกว่ามันมีอะไรมาสะกิด มาขัด มากวน มาเป็นภาระ มาเป็นธุระ มาเป็นเรื่อง จนกินไม่ได้นอนไม่หลับ

เพราะมันรู้มากเกินน่ะ มันก็กลายเป็นท็อกซิท เป็นของเสียของเน่าอยู่ภายใน ...และยังไม่รู้จักพออีกนะ ยังอยากขยันหาความรู้ภายนอกออกไป  

มันจะต้องรู้ทำไมกันนักกันหนา ...ใครปฏิบัติไปถึงไหนแล้ว ได้อะไรบ้าง อ้าว จะไปรู้ทำไม ยิ่งรู้ก็ยิ่งเศร้าหมองน่ะ อดไม่ได้ที่จะเปรียบเทียบกับตัวเราของเรา การปฏิบัติของเรา...ต่ำกว่ารึเปล่า เร็วกว่ารึเปล่า 

เอ้า ถ้าอยู่เฉยๆ ตำรวจก็ไม่จับ แล้วก็ไม่เป็นทุกข์ ...มันก็ยังหาเรื่องเป็นทุกข์ เพราะคำพูด เพราะความอยากรู้  มันทุกข์เพราะความอยากรู้  แล้วก็ไปหาความรู้เหล่านั้นมา

แต่กายตัวเองนั่งอยู่ กลับไม่รู้ เป็นงั้นน่ะ  ปากกำลังขยับ กำลังถาม ไม่เห็นอาการที่ปากขยับ ...ตรงนี้ไม่รู้ แต่อยากรู้ในที่อื่น อยากรู้ว่าเขาได้ทำล่วงหน้าที่เราจะไปถึงเมื่อไหร่ จะไปรู้ทำไม มันเป็นอะไร

ถ้าหยั่งลงตรงนั้น ขณะนั้น ด้วยสติที่เป็นสัมมาสติ ระลึกลงที่ศีล ระลึกลงที่กาย  ตรงนั้นก็เหมือนกำปั้นทุบดินแล้ว ... การปฏิบัติธรรมนี่เหมือนกำปั้นทุบดินน่ะ ทุบที่ไหนไม่เจอดินล่ะ นั่นน่ะ กำปั้นทุบดิน 

ที่ไหนไม่มีกาย...ไม่มี  เหมือนกำปั้นทุบดินเลยนะมันมีดินอยู่ ทุบที่ไหนก็เจอดิน ถึงดินหมดน่ะ  ต่อให้มันอยู่บนตึกคอนโด ทุบลงไปตรงพื้นคอนโดมันก็ตั้งอยู่บนดินน่ะ ...เหมือนกันกับกายนี่แหละ เหมือนกำปั้นทุบดิน 

กำลังโกรธ กำลังเกลียด กำลังหงุดหงิด กำลังรำคาญ กำลังสับสนอลหม่าน กำลังค้น กำลังหา กำลังไม่พอใจ กำลังจะทำอะไรดี กำลังจะหาอะไรทำดี ... ขณะนั้นน่ะทุบลงไป...เจอกายแน่ หยั่งลงไป มีสติลงมา...เจอกายแน่ มีอยู่แล้ว...ของจริงน่ะ มีอยู่แล้วทุกที่ทุกเวลา ไม่ต้องไปค้น ไม่ต้องไปหาตรงไหน

ถ้าภาวนามันอยู่ในหลักของความเป็นจริงนี้ หลักของศีลสมาธิปัญญานี้  ไม่ต้องไปแข่ง ไม่ต้องไปอวดกับใคร ไม่ต้องไปถามใครด้วย ...ถามตัวเองว่ารู้รึเปล่า...ว่าทำอะไร ให้ถามไว้ ถ้าจะถาม...ถามตัวเองว่ารู้รึเปล่าว่ากำลังทำอะไรอยู่ ...รู้อยู่หรือว่าหลงอยู่ 

มันไม่เดือดร้อนคนอื่นด้วยถ้าถามตัวเองอย่างนี้ ...ไอ้ไปถามคนที่เขากำลังนั่งหลับหูหลับตาอยู่ แล้วไปถามเขา...เธอไปถึงไหน  เขายังปวดหัวเลย ขี้เกียจพูดด้วยบางที ใช่มั้ย 

แต่ถามตัวเองดูดิ ไม่เดือดร้อนใคร  จิตมันจะได้อยู่ในกรอบ จิตมันจะได้มีขอบเขต จิตมันจะถูกจำกัดอาณาบริเวณ มันจะได้สยบ มันจะได้หมอบราบคาบลง ไม่กระเหี้ยนกระหือรือออกไป ทะเยอทะยานไปมา

ความร่มเย็น ความสงบ ความหยุดอยู่ ความตั้งมั่น ความเป็นหนึ่ง ความเป็นกลาง มันก็จะเกิดขึ้นตามลำดับ  

พอมันเกิดเหล่านี้ขึ้นตามลำดับ คราวนี้มันไม่จำเป็นต้องไปถามใครแล้ว ว่าสมาธิอยู่ไหน ศีลอยู่ไหน จิตตั้งมั่นอยู่ไหน ปัญญาอยู่ที่ไหน แล้วจะต้องเห็นอะไร จะต้องรู้อะไรอีกต่อไปไหม ...ไม่ต้องถามแล้ว

แล้วก็ให้ไปทำอยู่ที่เดียวนั่นแหละ ที่กายใจ รู้อยู่ที่เดียวนั่นแหละ คือที่กายใจ ...ให้มันเป็นที่เดียวกัน ให้กายใจมันเป็นที่เดียวกัน ไม่ใช่กายอยู่ที่...ใจอยู่ที่ กายอยู่ที่...จิตอยู่ที่ หรือกายอยู่ที่นึง ยังมีกายอีกตั้งเป็นสิบกาย...รวมกันอยู่อย่างนี้ มันอยู่ที่เดียวกันได้ยังไง 

ให้มันกายเดียวใจเดียว มันอยู่ที่เดียวกันมีสองสิ่ง สิ่งหนึ่งถูกรู้ สิ่งหนึ่งรู้อยู่ คือกายกับรู้นั่นแหละ เอามันแบบจริงๆ จังๆ ลงไปแค่นี้แหละ

ไม่ต้องไปถามหา นั่งคิดนั่งหามรรคผลนิพพานที่ไหนหรอก ไม่ต้องไปนั่งวิพากษ์วิจารณ์ถึงคำพูดความเห็นต่างๆ นานา เอาถูกเอาผิด เอาชนะคะคาน เอาแนวทางหนทาง เอาวิถีของการปฏิบัติอย่างนั้นอย่างนี้ ...เสียเวลาคิด ไปคิดทำไม 

รู้มันลงไป ว่านั่ง...กำลังนั่งคิดก็ให้เห็นอาการนั่งคิด  อาการนั่งและก็อาการคิดอยู่ด้วยกัน  แล้วก็อย่าไปสนใจอาการคิด ให้สนใจอยู่ในอาการนั่ง  เพราะถ้าสนใจอาการคิด เดี๋ยวนั่งจะหายไป ทั้งๆ ที่ว่ามันไม่สมควรจะหาย 

แต่เมื่อใดที่รู้ว่า นั่ง...คิด แล้วก็สนใจในอาการนั่ง ไม่สนใจอาการคิด เดี๋ยวจะเห็นเองว่าคิดน่ะจะหายไปของมันเอง ไม่มีอะไร  แต่นั่งยังมีอยู่ แล้วก็นั่ง...ก็จะเปลี่ยนไปมา อย่างนู้น อย่างนี้ อย่างนั้น ...เรื่องของมัน ดูมันไป ความจริงทั้งนั้น

ถ้ามันเกาะติดเจาะติดอยู่กับความเป็นจริงเหล่านี้ สติมันเข้าไปเกาะติดเจาะติดอยู่อย่างนี้  มันไม่พ้นหรอกที่มันจะแจ้งในความเป็นจริงก้อนนี้กองนี้ ว่ามันเป็นก้อนอะไรกันแน่  

มันเป็นก้อนเรา มันเป็นก้อนชาย มันเป็นก้อนหญิง หรือมันเป็นก้อนธาตุ หรือมันเป็นก้อนธรรม หรือมันเป็นก้อนทุกข์กันแน่ ...มันก็จะเข้าใจ  เมื่อมันเข้าใจแล้วก็ อ๋อ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง โง่มาตั้งหลาย...อเนกชาตินี่ เพราะไม่มาดู ไม่มารู้ ไม่มาเห็น ในสิ่งนี้ ของนี้ อันนี้ กองนี้ ที่นี้ เดี๋ยวนี้ ขณะนี้ ปัจจุบันนี้

มัวแต่ไปหาอะไรกันอยู่ มัวแต่ภาวนาหามรรคผลนิพพานอะไรที่ไหนกันอยู่

นี่ละภาวนา...ที่ไม่มีเวล่ำเวลา ที่ไม่มีสถานที่ เป็นตัวกำหนด  เพราะมีแต่ที่นี้ เป็นที่ตั้งที่กำหนด มีแต่เดี๋ยวนี้เป็นตัวกำหนด ...ถ้าไม่มีเดี๋ยวนี้ ถ้าไม่มีปัจจุบัน แปลว่าไม่ได้ภาวนาแล้ว 

ถ้าอยู่ในอาการค้น อาการหา อาการลังเล อาการงุนงง อาการสงสัย อาการสับสน  นั่นน่ะไม่ได้ภาวนาอะไรเลย  เพราะมันออกจากความเป็นจริงในปัจจุบัน ออกจากการรู้การเห็นความจริงในปัจจุบัน ...เรียกว่าออกจากความรู้จริง

ถ้าออกจากรู้จริงก็เรียกว่ารู้หลง รู้ไปรู้มานี่เรียกว่าหลง รู้หารู้ค้นนี่เรียกว่าหลง ...แต่ถ้ารู้อยู่ รู้จริงนี่ รู้อยู่ๆๆ รู้อยู่กับความเป็นจริง...นี่รู้จริง  เมื่อรู้จริงแล้วมันจึงรู้แจ้ง เมื่อรู้แจ้งแล้วมันจะรู้จนตลอด 

เมื่อรู้จริง รู้แจ้ง รู้ตลอด แล้วมันก็จะหลุดพ้น ... มันจะหลุดพ้น หลุดพ้นจากอดีตก่อน หลุดพ้นจากอนาคตก่อน แล้วต่อไปก็หลุดพ้นจากปัจจุบัน ... เมื่อหลุดพ้นจากปัจจุบันก็หลุดพ้นจากสรรพสิ่ง...ที่มันแวดล้อมใจ

ไม่ต้องถามแล้ว ...พอถึงหลุดพ้นจากสรรพสิ่งที่แวดล้อมใจ ก็ไม่ต้องถามหานิพพานแล้ว ... หยุดหา...มันจึงเจอ  ถ้าหา...มันไม่เจอหรอกนิพพาน 

พอหยุดไปเรื่อยๆ หยุดหาไปเรื่อยๆ ล่ะ อ้อ พอหลุดพ้นจากทุกสิ่งทั้งหลายทั้งปวงแล้วนั่นแหละ จึงจะเข้าใจว่านิพพานคืออะไร อยู่ที่ไหน มีที่ให้อยู่ไหม เหมือนที่เราหามั้ย เหมือนในตำรามั้ย 

แล้วมันจะรู้เองว่ามันไม่ได้เข้าเค้าอะไรเลย จากแต่ก่อนที่เคยเข้าใจว่า...ไอ้นั่นคือนิพพาน อย่างนี้คือนิพพาน อย่างนั้นคือนิพพาน พอมันไปถึงนิพพานแล้วไม่มีอะไรใช่สักอย่างเลย

อย่าไปเสียเวลาค้นหา อย่าให้หมดเวลาไปกับเผลอเพลิน อย่าหมดเวลาไปกับความลอย ลืม เลื่อนลอย หาย นี่แหละ เดินก็ใจลอย นั่งก็ใจลอย อยู่ในป่าก็ใจลอยไปกับป่าต้นไม้เสียงนกเสียงความเงียบ ลอยหมด หายไปหมด 

กายหายใจหายหมด ลอยไปไหนก็ไม่รู้ ...เพลินไปกับความคิดคำนึง เหมือนตกภวังค์ฝันน่ะ ฝันเฟื่องเลื่อนลอย ความจริงของกายอยู่ไหนไม่รู้ไม่เห็น  นั่งทับนั่งแช่อยู่กับมัน ใจดวงนี้จิตดวงนี้ กลับไม่เห็น กลับไม่รู้ กลับไม่เข้าใจ กลับไม่แยบคาย ...แล้วก็ยังเข้าใจว่ายังภาวนากันอยู่

มากันแต่ละทีก็จิตใจเศร้าหมองขุ่นมัว หงุดหงิดรำคาญ ท้อแท้อ่อนไหว ...อ่อนไหวมันไม่ใช่อ่อนโยน อ่อนไหวกับทุกสิ่งที่มันเกิดและยังไม่เกิด  ...ที่เกิดก็อ่อนไหว ที่ยังไม่เกิดก็อ่อนไหว ที่ล่วงหน้า คาดไว้ล่วงหน้า ว่าจะต้องเป็นอย่างนี้แน่ๆ ว่าจะต้องเจออย่างนี้แน่ๆ 

เพราะมันออกจากความเป็นจริง ...ถ้าอยู่กับความเป็นจริงแล้วจิตใจจะเด็ดเดี่ยว อาจหาญ มั่นคง หนักแน่น ไม่หวั่นไหว ไม่โลเล ไม่เหลาะแหละ

แค่นี้แหละ จบ ... จบคือจบ จิตก็จบ...จบอยู่ทุกขณะไป จบอยู่ที่กาย จบอยู่ที่รู้  จบ...ต้องจบ  ไม่มี To be continue  ไม่มี part 2 part 3  ให้มันจบอยู่กายใจปัจจุบัน นั่นแหละจบ...ต้องจบ 

พอ...ไป แค่นั้นแหละ ...ไม่ต้องถามแล้ว รู้ตัวเข้าไป อย่าไปสงสัย ละความสงสัย ในธรรมทั้งหลายทั้งปวง


โยม –  แล้วเกี่ยวกับ...เราจะชดใช้กรรมยังไง ให้มันหลุดจากความไม่เท่าเทียม ความลำเอียงอย่างนี้ค่ะ

พระอาจารย์ –  อย่าไปใคร่ครวญ อย่าไปคิดในสิ่งที่ไม่ต้องคิด ออกจากความคิดซะ... ไม่รู้ว่าชดใช้รึเปล่าอ่ะ แต่ออกจากความคิดนี้ซะ  

ออก...ก็คือการที่กลับมาอยู่กับกายซะ อย่าไปจมอยู่กับความคิดเหล่านี้ ความคำนึงเหล่านี้  อย่าไปหาถูกหาผิด หาแก้หากันกับในความคิด ไม่มีทางหรอก ...มันไม่จบ เข้าใจคำว่ามันไม่จบมั้ย 

ให้มันจบอยู่ที่กาย ก็บอกว่าให้จบอยู่ที่นี้ เข้าใจมั้ย ...เออ ออกซะ ลาออกซะ ลาออกจากความคิดซะบ้าง ลาออกจากการค้นการหาการควาน เอาถูกเอาผิด

ต้นไม้พวกนี้มันตั้งอยู่...มันผิดมั้ย หรือมันถูก  ถ้าไม่ผิดมันก็ถูกดิ

โยม –  มันก็เป็นไปตามธรรมชาติ

พระอาจารย์ –  ก็นั่นน่ะสิ  แล้วจะไปเอาอะไร เอาถูกเอาผิดกับอะไร จะเอาชนะอะไร  มันตั้งอยู่นี่มันชนะอะไรต้นไม้นี่ หือ มันชนะเราหรือ 

จิตนั่นแหละมันหาเรื่องไปเอง นะ ถ้าอยู่ตรงนี้แล้วจิตมันไม่หาเรื่อง ...แต่มันอยากหาเรื่องอยู่ ใช่มั้ย มันอยากหาเรื่องใช่มั้ย

โยม –  มันก็อยู่เฉยๆ แต่มันเข้ามาอยู่เรื่อยเลย ปล่อยวางไปตั้งหลายเรื่อง มันก็เข้ามาอีก

พระอาจารย์ –  ก็ยังวางไม่หมดน่ะ ก็จะทำยังไงล่ะ แล้วจะทำยังไง ฮึ

โยม –  มันเข้ามาในใจอยู่เรื่อยเลย

พระอาจารย์ –  เอาจนกว่ามันจะหมดน่ะ  บอกแล้วว่าอย่าท้อ วางไปจนไม่มีอะไรให้วางน่ะแหละ นั่นแหละเขาเรียกว่าหมดสิ้น ...ถ้ามันยังมีให้วางก็วางเข้าไป วางต่อไป 

แล้วไม่ต้องหาวิธีวางที่ดีกว่านี้ ...มันก็วางไปนั่นแหละ วางด้วยการที่กลับมารู้กายรู้ใจปัจจุบัน นั่นแหละวางแล้ว ถอนออกมา ...อย่าให้มันคิดซ้อนคิด คิดซ้อนคิด ความเห็นซ้อนความเห็น กายซ้อนกาย เราซ้อนเรา อย่างนี้ไม่เอา 

กายเดียวใจเดียวนั่นแหละ จบ ปิดฉากซะ ปิดฉากบ่อยๆ เอาจนกว่ามันจะหมดสิ้น หมดจด ไม่ต้องถามวันเวลา 

พอแล้ว ... ไป ไปอยู่กับกายใจตัวเอง ตัวใครตัวมัน กายใครกายมัน ... แก้ที่นั้นแหละแก้ได้หมด แก้ที่อื่น แก้ไม่หมด 


....................................


วันอาทิตย์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2557

แทร็ก 9/12



พระอาจารย์

9/12 (551122B)

(แทร็กชุดต่อเนื่อง)

22 พฤศจิกายน 2555



พระอาจารย์ –  แม่ของโยมนั่นก็ตายนี่

โยม –  อ้อ ใช่ค่ะ

พระอาจารย์ –  อยู่ดีๆ รถคว่ำตาย ... ความตายมาแบบไม่คาดฝัน ไม่ได้ทำใจไว้ล่วงหน้า  ก็รู้ว่าจะตายกันน่ะ แต่ไม่คิดว่ามันจะตายเร็วปานนี้ ... นี่น่ะ หาความแน่นอนไม่ได้ 

แต่มันเกิดขึ้นมาแล้วนี่...ความตาย  คนรอบข้างก็มีความเศร้าโศกาอาดูร มันเกิดขึ้น ...การเกิดมาก็ต้องมีการพลัดพรากเป็นธรรมดา มันเป็นของคู่โลก คู่ขันธ์ 

ถ้าไม่เรียนรู้ ถ้าไม่เข้าใจ  จิตมันก็เกิดความเข้าไปเหนี่ยวรั้ง ในความเที่ยงของสิ่งใดสิ่งหนึ่ง  

และเมื่อมันแสดงความไม่เที่ยง ความแปรปรวน ความควบคุมไม่ได้ขึ้นมา ...จิตไม่สามารถยอมรับได้  เกิดความบีบคั้น เป็นโศกา เป็นปริเทวะ คับแค้น อุปายาส คร่ำครวญ 

ถ้าไม่ฝึกให้จิตมันเข้าใจ ให้มันเห็นสภาพ ยอมรับสภาพ ตั้งแต่เดี๋ยวนี้ ...ทุกข์มันก็เกิด เกิดตั้งแต่เกิดยันตาย ทุกข์ซ้ำซาก ทุกข์จำเจ

(ถามโยม) เพิ่งเคยมาฟัง ภาวนาอยู่รึเปล่า


โยม –  ทำค่ะ ทำสมาธิ จิตต้องอยู่กับใจ อยู่กับปัจจุบัน  แต่พอจิตอยู่กับปัจจุบันแล้วก็...ตัวมันก็เริ่มเงียบๆ ไปค่ะ ...แล้วก็อยากรู้ พอเราอยู่จิตนิ่ง เราก็ไม่รู้ว่าต่อไปมันจะเป็นยังไงต่อนี่ค่ะ ก็เลยอยากจะถามพระอาจารย์ ว่าควรจะทำยังไงต่อ

พระอาจารย์ –  ไม่ทำยังไง

โยม –  เป็นมาหลายๆ ครั้งแล้วมันก็เป็นอยู่อย่างนี้ มันไม่ไปต่อขั้นต่อไปซะที

พระอาจารย์ –  จะไปไหน

โยม –  มัน..เคยอ่านในหนังสือ เขาบอกว่าจะขึ้นไปเรื่อยๆ ลำดับขั้นของการปฏิบัติสมาธิปฏิบัติธรรมนี่น่ะค่ะ

พระอาจารย์ –  จะไปไหน

โยม –  ไม่ทราบ ... อย่างแบบจิตนิ่ง ที่เขาอยู่กับนิ่งแล้วไม่เห็นอะไรเลยอย่างนี้รึเปล่าคะ

พระอาจารย์ –  ตัวยังไม่รู้ แล้วจะไปไหน

โยม –  ก็ยังไม่รู้

พระอาจารย์ –  ก็นั่นน่ะสิ  ไม่รู้แล้วจะไปไหนทำไม ...ตรงนี้ยังไม่รู้แล้วจะไปไหนต่อล่ะ

โยม –  ไม่รู้ ...คือเริ่มๆ มันก็เห็นภาพอะไรไปเรื่อยๆ จนภาพทั้งหมดมันไม่มาแล้ว มันเป็นแต่ภาพดำๆ มืดๆ แล้วจิตเฉยๆ

พระอาจารย์ –  นั่นแหละ จะไปไหนอีกล่ะ  จะไปเชียงรายเหรอ

โยม –  แล้วตามหลักแล้ว มันจะเป็นยังไงต่ออย่างนี้น่ะค่ะ

พระอาจารย์ –  จะมาถามอะไรเราล่ะ อย่าถาม ต้องรู้เอง ...ไม่ต้องไปหา รู้อยู่ที่นี้...ที่เดียว  

อย่าไปอยู่ในจิต อย่าไปอยู่ในอาการของจิต อย่าไปหาอะไรในจิต ...มันไม่มีอะไรหรอก ... จะไปเอาอะไร...มีอะไรในกอไผ่

โยม –  ไม่มีอะไร ความว่างเปล่า

พระอาจารย์ –  แล้วจะเอาอะไร  

โยม –  ไม่รู้

พระอาจารย์ –  แล้วจะไปไหน ...ไปตามความเชื่อหรือ ไปตามความเห็น ไปตามความจำ ไปตามที่เขาบอกมา ไปตามที่เขาเล่าว่า ... แล้วจะไปทำไม  เขาหลอกรึเปล่า

โยม –  มันก็อยากจะเชื่อในสิ่งที่เขาพูดเหมือนกัน

พระอาจารย์ –  ก็นั่นน่ะสิ  แล้วจะไปไหนล่ะ ...เมื่อกี้เราก็พูดแล้ว รู้จำ รู้คิด แล้วก็รู้จริง 

ในอาการอย่างนี้ มันจะเข้าไปในรู้จำกับรู้คิด มันจะเข้าไปหาอะไรในรู้จากความจำ มันจะเข้าไปหาอะไรจากรู้จากความคิด เข้าไปแบบไม่มีหูรูดน่ะ เข้าไปแบบไม่บันยะบันยัง

นั่นน่ะเขาเรียกว่าเข้าไปด้วยความลุ่มหลงมัวเมา  มันเป็นความหลง ความมัวเมา...จากความรู้จำและรู้คิด ... แล้วมันก็หาในสิ่งที่มันจำได้ มันก็หาไปในสิ่งที่มันคิดไปล่วงหน้า...โดยเข้าใจว่ามรรคผลอยู่ในนั้น

ทั้งหมดเป็นเรื่องของจำกับคิด หรือว่าความปรุงแต่งของจิตขึ้นมาเป็นความจำ ความปรุงแต่งของจิตขึ้นมาเป็นความคิด ...มันไม่มีอะไรในความจำและในความคิด

มันมีอยู่ที่ความจริง ...ถึงบอกว่าต้องรู้จริง ต้องรู้อยู่กับความจริง รู้เห็นอยู่กับสิ่งที่มีจริง ...เพราะนั้นอะไรล่ะที่มันมีจริง รู้จริง ตั้งอยู่จริงในปัจจุบัน ...อันนั้นน่ะ ให้รู้อยู่กับสิ่งนั้น 

เพราะนั้นสิ่งที่มันจริง ปรากฏอยู่ในปัจจุบันชัดเจนที่สุด ไม่มีอะไรเกินกายหรอก ... มันชัดไหมนี่ กายนี่ เป็นของปรากฏมีจริงอยู่ในปัจจุบันนี่ ชัดมั้ย


โยม –  ชัด แต่มันก็ไม่เที่ยง

พระอาจารย์ –  คิดอีกแล้ว

โยม –  มันก็ดูการดับไปใช่ไหม

พระอาจารย์ –  มันจะเป็นอะไรก็ให้อยู่กับความเป็นจริงของกายในปัจจุบัน จึงจะเรียกว่ารู้จริง รู้อยู่กับสิ่งที่มีอยู่จริง 

แล้วมันจะเที่ยงหรือมันจะไม่เที่ยง มันจะเกิด มันจะดับ มันจะตั้ง มันจะมาก มันจะอะไร ...ก็รู้อยู่ว่ามันมีอยู่ตรงนี้ แล้วมันก็แสดงอะไรอยู่ตรงนี้  เนี่ย จะไปไหน...แล้วมันจะไปไหนดีล่ะ

โยม –  ไม่ทราบ  แล้วความรู้สึกแปลกที่มันเข้ามา แบบบางทีเข้าไปปุ๊บ แล้วมันเหมือนอยู่อีกภวังค์นึงเลยอย่างนี้ มันมาทำไม มาเพื่ออะไรอย่างนี้

พระอาจารย์ –  เรื่องของมัน จะไปยุ่งกับมันทำไม


โยม –  ก็บางทีทำให้เราแบบ..ตั้งตัวไม่ได้อย่างนี้น่ะค่ะ เดินไปเห็นภาพอีกมิตินึง ... เมื่อปีก่อนมาก็เป็นที ขี่มอเตอร์ไซค์ไปแล้วพอมันมาปุ๊บ ทำให้เรารถมอเตอร์ไซค์ล้ม มาสองครั้งเลยน่ะค่ะ

พระอาจารย์ –  มันจะเป็นอะไรก็ช่าง แต่ว่าให้กลับมารู้ตัว อยู่กับตัว อยู่กับกาย ...ตอนนั้นไม่มีกายแล้วเข้าใจมั้ย มันหลงเข้าไปแล้ว มันหลงไปกับสิ่งต่างๆ นานา 

ไม่ต้องไปหาเหตุหาผล หาถูกหาผิดกับไอ้สิ่งต่างๆ นานา หรอกว่ามันคืออะไร ...ให้กลับมาอยู่กับกาย รู้ตัวไว้  ...มันไม่มีอะไร แล้วก็จะเห็นว่ามันไม่มีอะไรในกอไผ่หรอก  เราไปให้ค่า ไปให้ความสำคัญกับมันขึ้นมาเท่านั้นเอง

กายเนี่ย เราอยู่กับกายนี่ เราภาวนากับกายนี่ เราภาวนารู้กายแบบทิ้งๆ ขว้างๆ กันจริงๆ  มันถึงบ้าบอคอแตกกันไปหมด ไม่รู้อะไรต่ออะไร 

จิตน่ะ บ้าบอคอแตก เรื่องของจิตทั้งนั้นเลย สภาวะอะไรก็ไม่รู้ แล้วก็จับมาเป็นตุเป็นตะ เป็นจริงเป็นจัง เป็นมรรคเป็นผลอะไรลอยๆ ขึ้นมาซะอย่างนั้นน่ะ

เพราะมันภาวนาออกจากความเป็นจริง มันภาวนาหนีความเป็นจริง ภาวนาออกไปหาสิ่งที่มันไม่จริง ...มันเลยสับสน สงสัย ขุ่นมัว ลังเล วนไปวนมา ออกไม่ได้ ไม่รู้จะแก้ยังไง 

เหมือนลงเข้าไปในภวังค์ที่มันหมุนวน อะไรก็ไม่รู้อยู่ในนั้นน่ะ ...เพราะมันไปอยู่กับความคิดความจำทั้งหมดเลยของจิต 

ภาวนาก็มะงุมมะงาหรากันไปหมด จับต้นชนปลายไม่ถูก วันนี้อย่างพรุ่งนี้อีกอย่าง วันนี้อีกอย่างพรุ่งนี้ก็อีกอย่าง ...ทั้งๆ ที่ว่าของจริง ของมีอยู่นี่ ...มันไม่อยู่ตรงนี้น่ะ 

มาถึงก็ตั้งเป้าไว้เลย...จะวิ่งไปไหนดี จะไปหาอะไรดี วันนี้จะเจออะไรมั่ง จะเห็นอะไร จะไม่เห็นอะไร ...ภาวนากันแบบลูบๆ คลำๆ กันทั้งสิ้นเลย

เพราะมันภาวนาหนีออกจากความเป็นจริง ภาวนาเกินศีลเกินกาย...เกินกายปัจจุบัน เกินศีลปัจจุบัน  มันถึงวุ่นวี่วุ่นวาย สับสนอลหม่าน จับต้นชนปลายไม่ถูก 

แล้วก็ไปเปิดตำรา หาตำรามาสนับสนุนสภาวะตรงนี้ตรงนั้น แล้วก็คอยมาเทียบมาเคียง มาคาดมาเดา มาสุ่ม มาให้คะแนน มาให้ค่าของการปฏิบัติของตัวเจ้าของ...ว่าดี ว่าถอย ว่าถูก ว่าผิด

สุดท้ายก็ไม่ได้อะไร  ทุกข์ก็ยังเต็มดวงจิตดวงใจเท่าเดิม กิเลสก็ยังห่อหุ้มเท่าเดิม ความไม่รู้ก็ยังไม่รู้...มากยิ่งขึ้นด้วยซ้ำ  ยิ่งภาวนาไปยิ่งสับสนมากยิ่งขึ้นด้วยซ้ำ 

เพราะมันมีหลายช่องทางเหลือเกิน มีหลายสภาวะเหลือเกิน มีหลายเหตุการณ์เหลือเกิน มีอะไรแปลกๆ ใหม่ๆ มาตลอดเวลา ...แล้วจะไปทางไหนดี จะเอาอะไรดี 

ทั้งหมดมันเกิดขึ้น เพราะมันภาวนาออกนอกกาย ภาวนาออกนอกกรอบของศีลของกาย ...พอให้กลับมาอยู่กับกาย...กับกายเดียว กายปัจจุบัน ก็เห็นแต่อาการที่นิ่งๆ เกิดๆ ดับๆ ก็เบื่อแล้ว 

มันไม่มีสีสัน มันไม่มีสภาวะอะไรแปลกใหม่ มันไม่มีอะไรเลิศเลอ มันไม่มีอะไรเหมือนคนอื่นที่เขาพูดเขาเล่า หรือเขาแนะหรือเขาบอก ...ก็ทิ้งแล้ว ไปหาความไม่จริงต่อ 

มันเลยกลายเป็นภาวนาแบบมักง่าย เอาเร็ว เอาสะดวก เอาตามความพอใจ 

คือถ้าอยู่ตรงนี้แล้วจิตมันจะแสดงความไม่พอใจ มันก็เบื่อ  จะไปหาอะไรที่ดีกว่านี้ สว่างกว่านี้ สดใสกว่านี้ เป็นสุขกว่านี้ สงบกว่านี้ ...วนเวียนซ้ำซากอยู่อย่างนี้

ศีลไม่มี สมาธิไม่มี ปัญญาไม่เกิดหรอก ... ละเลยศีล ละเลยกาย ประมาทกาย  จะเอาอะไรแต่ดีๆ ภาวนาจะต้องให้ดีขึ้นๆๆๆ อะไรที่มันปรากฏด้วยความซ้ำซากจำเจก็เบื่อ เบื่อแบบไม่พอใจมัน หาอะไรที่ดีกว่า

ความเพียรมันน้อย ความอดทน ความตั้งมั่นอยู่ในปัจจุบันกายปัจจุบันรู้นี่...มันน้อย  เพราะมันติดที่มันจำได้ เพราะมันติดที่มันเคยอ่าน เพราะมันติดที่เคยฟังมา มันติดที่คนเคยเล่าเคยบอก 

แล้วมันละไม่เป็น มันละไม่ได้ มันก็เลยหนีความเป็นจริงในปัจจุบันกายตลอดเวลา ...เดินไปเดินมาก็ใจเลื่อนใจลอย 

การก้าวการเดิน...ทำไมไม่รู้สึก ทำไมไม่เห็น ทำไมไม่รู้ ในการก้าว การเดิน การกระทบ การปรากฏขึ้นของกายแต่ละขณะ แต่ละวรรค แต่ละตอน แต่ละช่วง มันเป็นอย่างไร นี่ ความจริงทั้งนั้น

ถ้าไม่รู้จริงอยู่กับตรงนี้ เดี๋ยวนี้ กายนี้ มันเป็นรู้หลงหมด ...หลงไปในความจำ หลงไปในความคิด หลงไปในความเห็น หลงไปในอดีต หลงไปในอนาคต หลงไปในสภาวะต่างๆ นานา ทั้งที่เกิดแล้ว ทั้งที่ดับแล้ว ทั้งที่ยังไม่เกิด 

นี่ หลงธรรม หลงจนสับสนอลหม่านไปหมด ไม่รู้อันไหนจริง อันไหนเท็จ อันไหนถูก อันไหนผิด ...วันนี้ถูกพรุ่งนี้ผิด วันนี้ผิดพรุ่งนี้ถูก วันนี้ได้พรุ่งนี้เสีย พรุ่งนี้ได้มะรืนเสียใหม่

วิ่งไล่จับเงากันอยู่นั่น จับอะไรกันอยู่ก็ไม่รู้ หาอะไรอยู่ก็ไม่รู้ ภาวนาอะไรยังไม่รู้เลย

มันเข้าใจเรื่องสักกาย(สักกายะ)ไหม มันเข้าใจเรื่องทิฏฐิของสักกายไหม มันเป็นไปเพื่อการละสักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉามั้ย มันเป็นไปเพื่อการละสีลัพพตปรามาสมั้ย  

มันภาวนาไปแบบดั้นด้นค้นเดาไปเรื่อย  มันไม่ได้เป็นการภาวนาเพื่อเป็นไปเพื่อการละวางจางคลายสักกาย วิจิกิจฉา สีลัพพตเลย 

แล้วมันจะภาวนาตามแบบตามเยี่ยงตามอย่างของพุทธะทั้งหลายทั้งปวงได้อย่างไร

จะเอาแต่ดีน่ะ จะเอาแต่จิตดี จิตหลุด จิตพ้น ...พ้นยังไง มันจะพ้นได้ยังไง มันจะหลุดได้ยังไง มันจะดีได้ยังไง  ถ้ายังไม่ละอะไรได้สักอย่างนึง 

มันยังหลุดพ้นจากกายนี้ไม่ได้ ยังหลุดพ้นจาก “กายเรา” ไม่ได้ ยังหลุดพ้นจาก “ตัวเรา” ไม่ได้ ยังหลุดพ้นจากความสงสัยไม่ได้ ยังหลุดพ้นจากวิธีการปฏิบัติต่างๆ นานาไม่ได้  มันจะดีได้ยังไง ...ไม่ได้

กายนี่เป็นประธานของขันธ์ เป็นที่รวมของขันธ์ห้า ที่มันปรากฏอยู่ในปัจจุบันด้วยความชัดเจน อาจหาญ ไม่เคยหายไปไหนเลย ตั้งแต่เกิดจนวันตาย 

แต่เรากลับอยู่กับกายนี้ กายปัจจุบันนี้ ได้น้อยมาก...ในหนึ่งวัน ... เราพูดอยู่ประจำว่าไม่เคยถึงหนึ่งเปอร์เซ็นต์หรือค่อนนึงของหนึ่งเปอร์เซ็นต์เลย

แต่ภาวนานี่พูดซะใหญ่โตมโหฬาร สภาวะนั้น สภาวะนี้ ... มันถูกหลอกกันทั้งนั้นน่ะ ถูกจิตตัวเองน่ะหลอก โดยที่ไม่รู้เลยว่าถูกหลอก 

แล้วก็ยังยินยอมให้มันหลอกอยู่ตลอดเวลา โดยเข้าใจว่า...เดี๋ยวคงได้สักวัน เดี๋ยวคงถึงสักวัน เดี๋ยวคงจะเข้าใจขึ้นมาเองสักวัน ...มันไม่เข้าใจอะไรหรอก มันหลอกตัวเองไปวันๆ มากกว่า

กับการที่มันมาเผชิญอยู่กับความเป็นจริง ด้วยการรู้จริงเห็นจริงในปัจจุบันกาย ... นี่ มันไม่เหมือนกัน 

เพราะนั้นถ้ารู้แล้วก็หยุด รู้แล้วก็หยุดๆ ...หยุดจิต หยุดหา  รู้แล้วก็หยุดค้น รู้แล้วก็หยุดสงสัย รู้แล้วก็หยุดวิพากษ์วิจารณ์ รู้แล้วก็หยุดหาเหตุหาผล รู้แล้วก็หยุดค้นและคว้า 

รู้แล้วก็หยุดอยู่ในที่นี้กายนี้ มันจึงจะรู้แจ้งขึ้น ...จากที่รู้จริงมันก็จะรู้แจ้ง ...เมื่อมันรู้จริงรู้แจ้ง มันก็รู้โดยตลอด รู้โดยทั่ว รู้โดยรวม รู้เห็นโดยรอบโดยรวม 

ความถ่องแท้ ความเข้าใจ ความชัดเจน ก็ปรากฏขึ้น เพราะมันไม่สามารถจะมาปกปิด ปิดบัง ด้วยจิตคิด จิตค้น จิตสงสัย จิตลังเล จิตหา จิตรัก จิตชัง จิตมีกิเลส จิตหลง จิตลืม พวกนี้ไม่สามารถจะมาปิดบังได้เลย

ไอ้ที่ไม่เข้าใจ...มันก็จะเข้าใจขึ้นมาเอง ไอ้ที่ไม่เคยเห็น ไม่เคยรู้ความเป็นจริงนี้...มันก็จะรู้ มันก็จะเห็นความจริงนี้ขึ้นมาเอง ...เป็นปัจจัตตังอยู่แต่ผู้นั้น อยู่ในที่เดียวนี่ อยู่ในกายเดียว รู้เดียวนี่

ให้นั่งรู้ตัว นั่งอยู่กับกาย นั่งรู้สึกในกายได้ไม่ถึงห้านาทีสิบนาที เบื่อแล้ว หนีแล้ว ...หนีไปหาอะไรก็ไม่รู้ ที่ไม่รู้มันมีจริงรึเปล่า 

ก็ยังหากันอยู่อีก ...จิตมันอยากหาน่ะ แล้วมันไม่ทันน่ะ ไม่ทันจิตที่มันปรุง ที่มันหลอกขึ้นมาให้ค้นให้หาอะไรก็ไม่รู้ อะไรที่มันหามันยังไม่รู้เลย

อย่ามาถามเราว่าหาแล้วจะได้อะไร ...มันไม่ได้อะไร มันไม่มีอะไรให้หาด้วย 

สิ่งที่มันต้องหา สิ่งที่มันต้องค้น สิ่งที่มันต้องคว้า...คือปัจจุบัน  ท่านเรียกว่าแยบคาย...โยนิโส  ให้ใคร่ครวญอยู่ในปัจจุบันกาย...เป็นอาตาปี เป็นการจดจ่ออยู่ในกาย 

เพราะนี้คือศีล ปกติกายคือปกติศีล ...ถ้ามันล่วงละเมิดก้าวข้ามศีลไปน่ะคือความเศร้าหมอง คือความขุ่นมัว คือความมืดบอด คือความมืดมน คือความไม่รู้

ผลของการละเมิดศีลน่ะเป็นเช่นนี้ ...มีแต่ความมืด อึมครึม เหมือนปลาสำลักน้ำ  เหมือนเราจมูกปริ่มๆ น้ำ เบลอๆ หายใจก็กลืนไม่เข้าคายไม่ออก มันเป็นอาการคล้ายอย่างนั้นน่ะ ...ไม่มีอะไรชัดเจนขึ้นมาเลย

ความเพียรมันไม่ถึง ความอดทนมันไม่ถึง ...อดทนที่จะรู้อยู่ในที่อันเดียว  อดอยาก...อดจิตที่มันอยาก อดจากจิตที่มันหา อดจากจิตที่มันจะไปในอดีตในอนาคตน่ะ 

มันต้องอด...ด้วยความอดทน แล้วก็รู้เพียงอันเดียวคือกายเดียว ...จนจิตมันรวมเป็นหนึ่งในปัจจุบัน ไม่แตกกระสานซ่านเซ็นส่ายไปส่ายมา ไขว่คว้าหาอะไรก็ไม่รู้

หาอะไรก็ไม่รู้...ชื่อก็บอกแล้วว่า “ไม่รู้”  ...ไม่รู้ก็คืออวิชชา  มันหาอะไรน่ะ ด้วยความ “ไม่รู้”  แล้วสิ่งที่มันหา...ก็ไม่รู้ว่ามันหาอะไร 

มันก็พยายามจะไปหาอะไรมารองรับ มายืนยันในความไม่รู้ที่มันกำลังหาอยู่ เช่นตำรา คำพูดคำกล่าวของคนนั้นคนนี้ มาคอยรองรับ

เพื่ออะไร ...เพื่อสนับสนุนให้เกิดการทะเยอทะยานออกไปไม่จบและสิ้น

นี่ มันไม่เห็น trick มันไม่เห็นเล่ห์เหลี่ยมของกิเลส เล่ห์เหลี่ยมของจิต ...ก็ตกอยู่ใต้อำนาจของจิตปรุงแต่ง ตกอยู่ใต้อำนาจของจิตอวิชชา  หาความจบ ความสิ้น ความหยุด ความพอ ไม่เจอหรอก

เพราะนั้นการภาวนาน่ะ เป็นการภาวนาที่เรียบง่าย สม่ำเสมอ และพอดีในปัจจุบัน ...มันไม่มีอะไรเป็นกระโตกกระตากหรอก มันไม่มีอะไรที่มันใหญ่โตมโหฬารอย่างที่เขาพูด เขาเขียน เขาคุยกันหรอก 

ไอ้เหล่านั้นมันเป็นอาการของจิตเท่านั้น ...การภาวนามันจึงเป็นกระท่อนกระแท่น เหมือนคนวิกลวิการเป็นง่อยเปลี้ยเสียขาอยู่  

แล้วก็หมุนวนอยู่นั้น หมุนวนรอบตัวมันเอง ไม่รู้ไปไหน มันหมุนวนเพื่อจะหาทางไปของมัน ...แต่จริงๆ มันหมุนวนอยู่อย่างนั้น ไม่ได้ไปไหนหรอก วนอยู่ในความสับสน วนอยู่ในความไม่รู้

ก็ต้องทำให้มันรู้...รู้จริงอยู่ ปรากฏอยู่กับความรู้จริง แล้วก็อยู่กับความรู้จริง รู้กับสิ่งที่มีอยู่จริง เป็นจริงในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้นที่มันปรากฏ ไม่ว่าทางใด 

ก็รู้ว่าเห็น ก็รู้ว่าได้ยิน ก็รู้ว่าได้กลิ่น ก็รู้ว่าลิ้มรสอะไร ก็รู้ว่ากาย ยืน เดิน นั่ง นอน อย่างนี้ ...นี่คือรู้จริงในปัจจุบัน ถึงเรียกว่ารู้จริง

มันจึงจะเห็นตามความเป็นจริงว่า จริงนี้คืออะไร  ไอ้ที่ปรากฏ...ที่ว่าจริงๆ ในปัจจุบันคืออะไร 

มันจริงตามที่จิตว่ามั้ย หรือมันไม่จริงตามที่จิตมันว่า มันจริงตามที่เคยเชื่อเคยเข้าใจมั้ย หรือมันไม่จริงตามที่เชื่อตามที่เข้าใจ  นี่ มันก็จะเห็นเอง...เป็นปัจจัตตัง

ไม่ต้องฟังใคร ไม่ต้องถามใคร มันก็จะเห็นด้วยตัวของมันเอง มันก็เกิดความยอมรับในตัวของมันเอง 

มันยอมรับแต่ของจริงเท่านั้นน่ะ อะไรที่นอกเหนือจากนี้ไป มันก็เห็นว่ามันไม่จริง ... แล้วมันจะไปหาอะไรที่มันไม่จริงล่ะ ...มีแต่ทุกข์น่ะ ทุกข์ๆ  มีแต่ทุกข์เกิดกับทุกข์ดับ แค่นั้น ...ทุกข์อุปาทาน


(ต่อแทร็ก 9/13)