วันศุกร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2557

แทร็ก 9/8




พระอาจารย์

9/8 (551112C)

(แทร็กชุดต่อเนื่อง)

12 พฤศจิกายน 2555




พระอาจารย์ –  ธรรมมีจริง ทุกคนมีธรรมอยู่จริง...แต่เข้าไม่ถึง  มันเข้าไม่ถึงธรรม มันไปติดแค่เปลือกธรรม คือติดแค่สิ่งที่มันห่อหุ้มธรรม 

ติดไม่พอ ...ไม่ขวนขวายในการเจาะลึก แยบคาย โยนิโสลงไปในเปลือกที่มันหุ้มธรรมเหล่านี้ออก  มันจึงไม่เห็นเนื้อแท้ธรรมแท้ ใจแท้ กายแท้ โลกแท้ๆ คืออะไร

มรรคมีองค์แปด...ไตรสิกขา ศีลสมาธิปัญญา  นี่คืออุปกรณ์ในการกะเทาะ ปอกเปลือก ลอกเปลือก...ที่มันหุ้ม ที่มันปิด ที่มันบัง ที่มันคลุม...กายใจตามความเป็นจริงออก ...สลัดออก เหวี่ยงออก ตัดออก วางออก ละออก ...แล้วไม่กลับเอามาห่อหุ้มอีก

จนเข้าไปถึงที่สุดของธรรม ที่สุดของกาย ที่สุดของใจ ...ที่สุดของกายคือกายวิสุทธิ ที่สุดของใจคือจิตวิสุทธิ  เมื่ออยู่ด้วยกายวิสุทธิ จิตวิสุทธิเมื่อไหร่ จนถึงขีดสุด  เมื่อนั้นก็จะเข้าสู่จิตวิมุติ หลุดพ้น จากสามโลกธาตุ ไม่กลับมาเกิดและตายอีกต่อไป...ชั่วกัลปาวสาน

เห็นอานิสงส์ของการภาวนาไหม เห็นคุณค่าของการภาวนาไหม ...ไม่ใช่เด็กๆ ไม่ใช่อมยิ้ม ไม่ใช่ของหวาน ไม่ใช่ขนมขบเคี้ยวเล่น ...อานิสงส์ของภาวนานี่เกินกว่าสร้างพระธาตุร้อยองค์อีก เกินกว่าเป็นเจ้าภาพกฐินร้อยกอง ร้อยวัดพันวัด เกินกว่าที่จะไปเลี้ยงดูพระพุทธเจ้าโดยมีอริยสงฆ์สาวกอสีติแปดสิบเป็นประธานอยู่ในนั้นอีก

แล้วเราก็ยังยืนยันว่าทุกคนทำได้ ทุกคนทำถึง...ถ้าทำจริง ปฏิบัติจริง ... ไม่เหลาะแหละโลเล ลังเลสงสัย  โลเลไป โลเลมา จับนู่นจับนี่ไปมา 

กายก้อนเดียวแค่เนี้ย มันใหญ่โตมโหฬารแค่ไหน ฮึ  ก้อนเท่าเนี้ย กว้างคืบยาววาหนาศอกแค่เนี้ย...มันรู้อยู่ตรงนี้แค่นี้...มันยากตรงไหน  มันไม่ได้กว้างใหญ่ไพศาลมโหฬารเหมือนประเทศไทย เหมือนบ้านช่องห้องหับ มันดูแลยากตรงไหน ก้อนแค่เนี้ย

อย่ามาบ่นว่ายาก ... เกิดตายๆ กันมาในโลกนี่ยากกว่านี้เยอะ  ออกจากท้องแม่ก็ยากจะตายชัก ออกมาแล้วแม่ไม่เลี้ยงก็ตาย บางทีก็ตายในท้อง ...การเกิด เห็นมั้ย มันยากนะนั่นน่ะ  ยังขยันเกิดกันอยู่นั่น 

แต่พอให้มารู้อยู่ของแค่เนี้ย...ทำไม่ได้ ไม่ไหว ไม่สนุก ไม่เอร็ดอร่อย ไม่มัน เป็นของยาก ยากยิ่ง ยิ่งยาก ...ก็ไปขยันเกิด ไปขยันตายกันต่อ ตามเทรนด์ของโลก ...ยึดมั่นถือมั่นกัน ดินน้ำไฟลม คือกาย มหาภูตรูปสี่ คือกายนี้แหละ 

ดินน้ำไฟลม คือสสารและพลังงาน คือรูปธรรมนามธรรม ...มาจากไหน ...มันเป็นของในโลกใช่ไหม ข้าวปลาอาหารน้ำท่า แสงแดด อากาศ อุณหภูมิ เป็นของในโลกใช่ไหม  มาสังเคราะห์รวมตัวกัน เป็นรูปลักษณ์ เป็นลักษณะ สองแขน สองขา หนึ่งตัว หนึ่งหัว ...ก็มาบอกว่าเป็น “กายเรา” แล้ว ...ได้ไง

เป็นของเราได้ยังไง ...มันเป็นของเราหรือแท้ที่จริงมันเป็นของโลก ... หรือดินน้ำไฟลมไม่ใช่ของโลก หรืออากาศอุณหภูมิไม่ใช่ของโลก ...แล้วมาบอกว่าเป็นของเราได้ยังไง 

เห็นความโง่ของจิตไหม ... แล้วยังอยู่กับมันได้อีกหรือความโง่ในจิตเหล่านี้ เกิดกี่ชาติกี่ครั้ง ก็มายึดดินน้ำไฟลม...ดินน้ำไฟลมอากาศนี่...เป็นเราๆๆ ทุกภพทุกชาติไป...อย่างนั้นหรือ

มันสมควรมั้ยที่จะเรียกว่าเป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้า มันสมควรมั้ยที่จะบอกว่านับถือพุทธศาสนา ...ของโลกแท้ๆ ทำไมไม่เห็น  ก็แค่ยืมเขามาใช้น่ะ เขาให้ยืมมาใช้แค่ห้าสิบปี...เจ็ดสิบปีแปดสิบปี แล้วเขาก็เอาคืน ขอคืนล่ะ ...ยังมาบอกว่าเป็นของเรา 

พอเขาขอคืนแล้วทำไงได้ล่ะ ก็เห็นต้องคืนทุกคนน่ะ  ไม่เห็นมีใครไม่คืนได้ หรือมีใครจะเอาชนะแล้วบอกว่าเป็นของกูๆๆ ของเราๆ จนไม่ให้โลกมายื้อแย่งแตกสลายกลับคืนเป็นธุลีเหมือนเดิมน่ะ ยังไม่เข้าใจอีกหรือไง

ก็เพราะมันไม่เข้าใจยังงี้ มันถึงเกิดไม่รู้จักเบื่อ  เพราะมันโง่ แล้วก็พยายามมาเอาชนะร่างกายนี้ให้ได้ ...จะเอาร่างกายนี้ไปชนะโลก ชนะธรรมชาติให้ได้  ด้วยวิชาการความรู้ต่างๆ นานา การก่อสร้าง วิศวกรรมทุกอย่างนี่เป็นการเอาชนะธรรมชาติเพื่อจะให้มันเหนือขึ้นไป ดีกว่า 

สุดท้ายเวลาเขาขอคืนล่ะ ...วาตภัยงี้ สึนามิมา อะไรเหลืออยู่ล่ะ ไม่เห็นมีอะไรคงอยู่ได้เลย ...แล้วก็บอกว่าสิ่งนี้เป็นของเรา สิ่งนี้ตัวเราสร้าง  แม้กระทั่งกายก็ยังเป็นตัวเรา แล้วสิ่งที่ออกมาจากความคิดแล้วเราสร้างขึ้นตามความคิดก็เป็นของเราอีก ...ดูดีๆ

มันดูไม่ดี ตามันไม่ดี ตาใจมันไม่ดี ตาญาณมันไม่มี มันจึงไม่เห็นความจริงเหล่านี้ที่มันแสดงความเป็นจริงอยู่ทนโท่ ...แต่ไม่แยบคาย หลอกตัวเอง ให้จิตหลอก แล้วก็หลอกตลอดเวลา

กลับมารู้...จำเพาะกายจำเพาะจิต นี่จึงเรียกว่าเป็นวิถีแห่งพุทธะ นี้จึงเรียกว่าพุทธธรรม นี้จึงเรียกว่าวิถีแห่งมรรค นี้จึงเรียกว่าวิถีแห่งพุทธศาสนิกชนผู้มีศาสนา 

ศาสนาพุทธคือศาสนาที่สอนวิถีแห่งการดำรงชีวิต วิถีแห่งการดำรงจิต เพื่อจะเข้าสู่ความเป็นพุทธะ จึงเรียกว่าพุทธศาสนา  ท่านสอนมา ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ทั้งหมด...เป้าหมายของท่านเพื่อให้ดำรงชีวิตอยู่ในวิถีที่จะเป็นไปเพื่อการเข้าสู่ความเป็นพุทธะ

ผู้ใดที่เดินในองค์มรรค ผู้ใดที่ปฏิบัติอยู่กับองค์มรรค จึงเรียกว่าผู้นั้นเป็นผู้กำลังดำเนินอยู่ในวิถีหรือครรลองแห่งพุทธะ ...ซึ่งในครรลองนี้ ตั้งแต่พระพุทธเจ้า พุทธสาวก พุทธสาวิกา สมณะ ล้วนเดินในเส้นทางนี้ทั้งสิ้น และมันเป็นวิถีที่ไม่ใช่ว่ามันอยู่ที่ไหนที่อื่นที่ไกลเลย ...มันอยู่ที่นี้ อยู่ที่เดี๋ยวนี้

ไม่ต้องไปกล่าวอ้างเรื่องการงาน ไม่ต้องไปกล่าวอ้างเรื่องอาชีพ ไม่ต้องไปกล่าวอ้างเรื่องสถานะ ไม่ต้องไปกล่าวอ้างเรื่องอายุ ...ไม่มีอะไรมาขัดขวางองค์มรรคหรือทางแห่งมรรคได้เลย...นอกจากตัวเราเอง ตัวเราที่มาจากจิตผู้ไม่รู้นี่แหละ ที่มันขวาง เป็นตัวที่ขวางทางมรรค

กายใจเป็นมรรค ผู้ที่เดินอยู่ในกายใจคือผู้ที่เดินอยู่ในองค์มรรค จิตที่ดำเนินอยู่ในกายใจปัจจุบันคือจิตที่กำลังดำเนินในวิถีจิตแห่งมรรค...เป็นไปเพื่อความตรัสรู้ เป็นไปเพื่อความรู้แจ้งเห็นจริง เป็นไปเพื่อการละวางปล่อยออกจากขันธ์ห้าและโลกทั้งสาม

ไม่ยาก...แต่ก็ไม่ง่าย  ไม่ยากเพราะของทุกอย่างมีอยู่แล้ว ที่บอกนี่มีอยู่แล้วทุกคน  หมายความว่าจอบพลั่วเสียมเครื่องมืออุปกรณ์การเพาะปลูก ทุกคนมีพรั่งพร้อมหมดเลย  เนี่ย ที่เราพูดนี่คือสอนวิธีการปลูก ...สอนแล้วบอกแล้ว ตอนนี้คือลงมือทำแค่นั้น เครื่องมือมีแล้ว อุปกรณ์มีแล้ว จอบพลั่วเสียมมีแล้ว พื้นที่นามีแล้ว ได้วิธีปลูกแล้ว ...ก็ลงมือทำ

เราได้แต่แนะนำแค่วิธีการปลูก เราปลูกให้ไม่ได้ พระพุทธเจ้าท่านก็ปลูกให้ไม่ได้ ... มรรคผลนิพพานคือผลผลิตที่ทุกคนลงมือเพาะปลูกหว่านด้วยกำลังแข้งของตัวเอง สติปัญญาของตัวเอง กายใจของตัวเอง ...แข่งกับฤดูกาลที่ผันแปร แข่งกับวันคืนที่ล่วงลับ แข่งกับอายุที่หมดไป

มันไม่ได้แข่งกับอะไรหรอก มันแข่งกับตัวเอง...กำลังจะตาย  ตายแล้วจะไม่ได้ทำ  ตายแล้วไม่รู้ว่าจะได้เกิดเป็นคนไหมและเมื่อไหร่  ตายแล้วไม่รู้ว่าจะจำวิธีการปฏิบัติที่ชัดที่ตรงได้อีกไหม ...เวลาที่มีอยู่เดี๋ยวนี้ ขณะนี้ ปัจจุบันนี้ จึงสำคัญที่สุด 

ใช้ทุกลมหายใจเข้าออกให้คุ้มค่าที่สุด ...ให้เป็นวิถีที่เป็นไปเพื่อความตรัสรู้ ให้ไปอยู่ในวิถีที่เป็นไปเพื่อความรู้แจ้งในกาย รู้แจ้งในจิต รู้แจ้งในสรรพสิ่ง  นั่นแหละ จึงจะเรียกว่าคุ้มค่าแห่งการเกิดขึ้น คุ้มค่าที่ได้ใช้ชื่อว่าเป็นพุทธศาสนิก อุบาสก อุบาสิกา

เพราะอะไร...เจ็ดพันกว่าล้านคนในโลกนี่ เขาไม่มีโอกาสเช่นพวกเราหรอก แทบจะหมดโอกาสเลย ...เรามีโอกาส เรามีทุกอย่างพร้อมแล้ว สมบูรณ์แล้ว เป็นมงคลแล้ว ใช้ให้คุ้ม 

เวลาตายจะได้ตายแบบไม่อายใคร ตายอยู่กับธรรม ตายพร้อมกับวิถีธรรม  ไม่ตายให้คนมานั่งแช่งด่า หรือมาคร่ำครวญหวนไห้แบบไร้สาระ ...ตายแบบเป็นเยี่ยงอย่างกับผู้ปฏิบัติธรรม ดำรงความเป็นวิถีธรรมจนวันตาย ดำรงวิถีแห่งกายใจ ระลึกรู้ เท่าทัน อยู่กับกายใจปัจจุบัน จึงเป็นบุคคลที่ควรแก่อัญชุลี

ดูพระอริยะแต่ละองค์ เวลาท่านตาย แห่แหนกัน อยู่ที่ไหนก็ดั้นด้นกันไปหา ไปเคารพ ไปสักการะ เป็นที่ให้ต้องจดจำไปอีกหลายร้อยหลายพันปี ...คนธรรมดาตายนี่ บางคนก็สมน้ำหน้า บางคนก็ดีใจ บางคนก็หัวเราะ บางคนก็ร้องไห้ ก็แค่นั้น เดี๋ยวก็ลืมไปแล้ว ไม่ควรค่าแก่การสักการะเลย

แล้วทำไมต้องไปสักการะพระอริยะท่าน ...ก็วิถีแห่งธรรมนั่นเป็นวิถีอันบริสุทธิ์ เป็นวิถีที่มันไม่ต้องป่าวประกาศ มันไม่ต้องไปโอ้อวด มันมีวิถี...มันแสดงความเป็นวิถีแห่งความบริสุทธิ์อยู่ ...เป็นของเย็น เป็นสิ่งที่เย็น เป็นสิ่งที่รับรู้ได้ในสัตว์โลกทั้งสามโลก ไม่ใช่มีแต่มนุษย์อย่างเดียว

ให้ดำรงอยู่ในวิถีจนวันตาย ...จะได้ผลหรือไม่ได้ผลอย่างไรไม่ต้องคิด ไม่ต้องไปคาด ...ถามตัวเองว่า ยังทำอยู่มั้ย ยังรู้อยู่มั้ย ในปัจจุบันกายปัจจุบันใจ 

เรื่องราวคนอื่น ...ใครจะดีใครจะร้าย ใครจะถูกใครจะผิด ใครจะรักใครจะชัง ใครจะชอบใครจะเกลียด ใครจะแสดงอะไร ใครจะปฏิบัติอย่างไร ใครจะทำยังไงกับเรา ...อย่าเอามาเป็นธุระ อย่าไปเสียเวลากับสิ่งนั้นๆ ...มันไม่ได้มรรคผลนิพพานหรอก ในเวลาที่จิตไปวุ่นวี่วุ่นวายกับสิ่งเหล่านั้น 

ทุ่มเทเวลาทั้งหมด...ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้เต็มกำลัง...กับกายใจปัจจุบัน  เพื่อให้จิตมันรู้ เพื่อให้จิตผู้ไม่รู้นี่...มันรู้ เพื่อให้จิตผู้ไม่เห็นนี่...มันเห็น ... เห็นอะไร  เห็นปัจจุบันกาย เห็นความเป็นจริงในสิ่งที่มันไม่เคยเห็นมานับล้านๆ ชาติ 

มันจะได้เข้าใจว่า “นี้หรือคือเรา นี้หรือเป็นของเรา” นี้หรือเป็นชาย นี้หรือเป็นหญิง ...ก็เป็นแค่ก้อน เป็นแค่กอง เป็นก้อนเป็นกองซื่อๆ เป็นก้อนเป็นกองที่ไม่มีชื่อ เป็นก้อนเป็นกองที่ไม่มีความเป็นชายเป็นหญิง 

หนัก เบา ตึง แน่น ร้อน อ่อน แข็ง ก้อนเนี้ย ก็เป็นแค่ก้อนแค่นี้เองจริงๆ ...มันไม่เคยเห็นความเป็นก้อนอย่างนี้มาก่อนเลย เพราะมันไม่เคยใส่ใจน้อมกลับโอปนยิโกมาเห็นสภาพที่แท้จริงของกาย



(ต่อแทร็ก 9/9)



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น