วันอังคารที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2558

แทร็ก 9/19 (2)


พระอาจารย์
9/19 (551219D)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
19 ธันวาคม 2555
(ช่วง 2)


(หมายเหตุ  :  ต่อจากแทร็ก 9/19  ช่วง 1

พระอาจารย์ –  ฟังให้ดี...เราถึงบอก ฟังให้ดี เรียกว่าสุตตมยปัญญา ...ด้วยอาศัยสุตตมยปัญญา 

เพราะนั้นน่ะทำไมพวกเราพวกนี้ถึงต้องมาฟังซ้ำๆ ซากๆ เพราะมันฟังไม่ดี ยังฟังไม่ดี

เราไม่ได้ว่าโยมคนเดียวนะ ทุกคนน่ะที่มันไปมาหาสู่กันอยู่นี่...ฟัง เราก็พูดอยู่ในแง่มุมเดียวกันตลอด ...แต่มันฟังไปแต่ละครั้งนี่ไม่เหมือนกัน

เพราะฟังครั้งที่แล้วมันฟังไม่ดี มาฟังครั้งใหม่มันรู้สึกว่ามันฟังดีขึ้น เข้าใจขึ้น ...ทั้งๆ ที่ว่าอรรถเดียวกัน ภาษาเดียวกัน เนื้อความเดียวกันบอกให้เลย

เพราะมันฟังไม่ดี สุตตมยปัญญาแรกไม่เกิด จินตามยปัญญา...เคลื่อน ภาวนามยปัญญา...จึงไปคนละทิศเลย

แต่ว่า...ด้วยอาศัยความที่ว่ามีศรัทธาและบากบั่น ก้มหน้าก้มตาทำไปเรื่อยๆ ...สงสัย ติดขัด ข้องคา...มันมาหาอีก ฟังอีก

ผลของการภาวนาแบบสุ่ม ดุ่ม คาดๆ เดาๆ มันก็มีผล คือเกิดความว่า "เอ๊อะ ไม่ใช่อย่างนั้นนี่หว่า นึกว่าอย่างนั้น" ...นั่น เกิดสุตตะที่ดีขึ้นแล้ว

 จินตาเริ่มไปในเค้าลางเค้าโครงการปฏิบัติ ว่ากายอย่างไร รู้อย่างไร ได้ชัดขึ้น ตรงขึ้น ...ผลเกิดขึ้นมากขึ้น เข้าใจขึ้น หายสงสัยมากขึ้น

ผลแรกคือหายสงสัยในการปฏิบัติ ว่าไอ้ที่กูทำนี่ใช่ไหม ไอ้ที่เราทำนี่มันไม่ผิดมั้ง ...ไอ้คำว่า “มั้ง” นี่มันไม่ค่อยมีแล้ว ...มันฟันธงได้มากขึ้นๆ กระจ่างขึ้น แจ่มขึ้น ชัดขึ้น

 คือถ้าตีหัวนี่แปลว่าถูกตัวเลยอ่ะ ถ้ายิงก็ไม่มีคำว่ายิงผิดตัว ไม่ต้องอาศัยผู้ชี้เป้าเลย ตรง ...แน่ะ ก็เข้าใจแล้วว่าปฏิบัติตรงคืออะไร  ตรงอะไร...ตรงต่อศีล ตรงต่อสมาธิ ตรงต่อปัญญา

คำว่าปฏิบัติตรงน่ะ ไม่ใช่ไปนั่งหลับหูหลับตาแล้วว่านั่นตรงแล้ว หรือไปขุดรูอยู่ในป่าคนเดียวไม่พูดกับใครก็เรียกว่าตรงแล้ว ไม่เกี่ยวเลย มันไม่เกี่ยวเลย

ตรงศีลรึยัง ตอบตัวเองได้รึเปล่าล่ะอะไรเป็นศีล  ตรงต่อสมาธิ สมาธิคืออะไร สงบคืออะไร แยกออกมั้ย

ถ้ายังแยกไม่ออกแสดงว่ายังไม่ตรง การปฏิบัติก็จะไม่ตรง ยังคดๆ เคี้ยวๆ อ้อมๆ ข้างๆ คูๆ ลูบๆ คลำๆ ในวัตรและศีล

นี่ ...มาฟังแค่ 2 ครั้ง ...ยัง ยังเจออีกหลายครั้ง (โยมหัวเราะกัน)


โยม –  ก็อาจารย์ช่วยสอนให้เคลียร์สิคะ  จะได้ไม่ต้องมาอีก

พระอาจารย์ –  ทุกครั้งเราพูดเคลียร์ ...ทุกครั้งที่เราพูดนี่เกินนิพพาน บอกให้


โยม(อีกคน)   แต่คนฟังไม่เคลียร์

โยม –  ก็ท่านอาจารย์วกไปวกมา ลูกศิษย์งง

พระอาจารย์ –  ทุกครั้งเนี่ย ไอ้ที่เราพูดทั้งหมดนี่ เอาไปใช้นี่สิบชาติเลย


โยม –  โห ชาติเดียวก็พอแล้วค่ะ สิบชาติไม่เอา

พระอาจารย์ –  เออเหอะ สิ่งที่เราพูดทั้งหมดนี่ มันสามารถเอาไปใช้ประโยชน์ได้อีกสิบชาติในการเกิดครั้งต่อไปเลย ไม่ต้องกลัว

เพราะอะไร ...บอกแล้วไง เพราะสุตตะและภาวนามยปัญญาของโยม จึงยังไม่เข้าใจหรือไม่เคลียร์

ระดับการฟังเข้าใจหรือความเคลียร์...ถ้าถามคนข้างๆ นี่ต่างกันแล้ว ความเคลียร์ ความเข้าใจ ...เขาบอกว่าฟังเนื้อความเดียวกัน แต่โยมทำไมไม่เข้าใจ หรือรู้สึกอาจารย์ทำไมดูเหมือนพูดวกวน

แต่คนอื่นเขาไม่รู้สึกอย่างนี้เลย เชื่อมั้ย ลองถามคนข้างๆ ดู ...เดี๋ยวกลับไปค่อยถาม อย่ามาถามตอนนี้ (โยมหัวเราะกัน)


โยม –  ถามข้างหลังพระอาจารย์ก็ไม่รู้สิคะ ต้องถามตอบต่อหน้าพระอาจารย์ จะได้โอเค

พระอาจารย์ –  เออ ไม่ต้องตอบหรอก เราตอบให้แทนเลย


โยม(อีกคน)   พระอาจารย์ แล้วโยมจะจำได้หรือ เกิดชาติหน้า

พระอาจารย์ –  ไม่ต้องกลัว ไม่มีอะไรที่จิตจำไม่ได้


โยม(อีกคน)   จิตมันจำมันเอง

พระอาจารย์ –  ไม่ต้องกลัว


โยม –  ก็อธิษฐานเกิดมาเกาะท่านอาจารย์อีก

พระอาจารย์ –  คงไม่เจอกันอีกแล้วล่ะ (หัวเราะ) ...คงไม่เจอกันแล้ว


โยม – (หัวเราะกัน) ว่าจะไม่ถามคำนี้

พระอาจารย์ –  เห็นมั้ย ถึงบอกว่าอย่าไปคาด อย่าไปหวังกับอะไร อย่าไปคาดหวังผู้อื่น สัตว์บุคคลอื่น ...ทำตัวเองให้รอด เอาตัวเองให้รอด


โยม –  ค่ะ

พระอาจารย์ –  ต้องเอาให้รอด เอาให้ได้ ...จะเข้าใจก็ตาม ไม่เข้าใจก็ตาม  เราบอกว่ายืนอยู่ในหลักเดียวคือกายเดียว กายปัจจุบัน...ศีลนี่

ที่เรายังขาดอยู่อย่างมากคือไม่มีศีลแค่นั้นเอง ...เพราะนั้นถ้าเติมศีลบริบูรณ์ ศีล...เติมให้เต็ม รักษาให้ต่อเนื่อง ไม่ขาด ไม่ต้องถามสมาธิและปัญญา


โยม –  แล้วศีลให้เต็มนี่ ต้องอยู่ขนาดไหนคะ ที่จะเป็นศีลที่ว่ามุ่งไปหาสมาธิได้น่ะค่ะ ศีลจะอยู่ระดับไหนคะ

พระอาจารย์ –  ให้เกิดอะไร


โยม –  เพื่อจะให้เกิดสมาธิสู่ปัญญาอย่างนี้น่ะค่ะ

พระอาจารย์ –  ทุกขณะที่รู้ตัว สมาธิเกิดทุกขณิกะ


โยม –  แต่ศีลห้านี่ถ้ากำหนดได้ รักษาได้ ก็ โอเค ใช้ได้ใช่ไหมคะ

พระอาจารย์ – ก็รักษาไป ไม่ได้ว่า 


โยม – ค่ะ  ก็ โอเค

พระอาจารย์ –  แต่ศีลสมาธิปัญญา คือกาย...ปัจจุบันกาย หรือเรียกว่าปัจจุบันศีล  ปัจจุบันกายก็คือปัจจุบันศีล แล้วปัจจุบันศีลน่ะคือปัจจุบันธรรม

ทั้งหมดมันเป็นแค่ภาษา ...แต่ในภาคปฏิบัติน่ะมันไม่สามารถจะแยกแยะออกมาเป็นภาษาได้ นี่ แล้วมันจะเข้าใจเอง

สิ่งที่พวกเราขาดคือขาดตัวนี้ ...ไม่ใช่โยมคนเดียว เกือบทุกคน ...เพราะนั้นน่ะ มันจึงอยู่ด้วยความที่ว่า...ท่ามกลางความลังเลและสงสัย

ทำไมถึงอยู่ท่ามกลางความลังเลและสงสัย ...เพราะจิตไม่เป็นหนึ่ง ไม่ตั้งมั่น

เมื่อจิตไม่เป็นหนึ่ง ไม่ตั้งมั่น ...หมายความว่ามันจึงมีการแส่ออกมา ส่ายออกมา เกิดความขุ่นมัวเศร้าหมองและลังเลสงสัย ...นั่นแหละคือคำตอบว่า สมาธิยังไม่ปรากฏ

จะสงบก็ตาม จะไม่สงบก็ตาม ก็เรียกว่าสมาธิยังไม่ปรากฏ ...เพราะเจริญศีลไม่เพียงพอแก่สมาธิที่จะเกิดผลแห่งสมาธิ

ไม่ต้องไปถามหาที่อื่น ไม่ต้องไปหาวิธีลัดวิธีตรงอื่น ...ไม่มีวิธีแล้ว มีวิธีเดียวว่า รู้อยู่มั้ยว่ากำลังทำอะไรอยู่ กายน่ะ ...รู้อยู่แค่นี้ ทำอยู่แค่นี้ จะหน้าด้านทนทำได้แค่ไหน

ตรงนี้ต้องอาศัยความหน้าด้าน อดทนเอา เพราะจิตมันจะไม่ยอมทน ...นี่คือปัญหาแรกของผู้ปฏิบัติ คืออ่อนแอต่ออำนาจของจิต

มันไม่สามารถทนทานต่อจิตที่มันจะชักจูงออกจากปัจจุบันกายนี้ไป...ทั้งในแง่ที่จงใจและไม่จงใจ

ไม่จงใจคือเผลอเพลิน ลืม หายเอง ลืมเอง หลงหายไป นี่คือไม่จงใจ ...จงใจคือตั้งอกตั้งใจคิดเลย ตั้งอกตั้งใจสร้างความคิด หาความคิด สร้างอดีตสร้างอนาคต ...นี่จงใจ

แล้วมันทานอำนาจเหล่านั้นไม่ไหว แล้วก็ทำไปตามที่จิตมันเสนอแนะให้ทำ ...แค่เนี้ย ขาดจากศีลแล้ว

เมื่อใดที่ขาดจากศีล ต่อให้ปฏิบัติไปจนวันตาย ก็วน...วนอยู่ในทางซอยปลีกย่อย ...ไม่ใช่ทางหลักทางเอก...คือมรรค 

เอกายนมรรค แปลว่า ทางสายเอก ...ถ้าไม่ขึ้นทางสายเอก ถ้าไม่อยู่ในทางสายเอก ไม่มีคำว่าที่สุดแห่งองค์มรรค

อย่าประมาทเรื่องศีล อย่าประมาทว่าธรรมนี้เป็นเล็กน้อย ...ถ้าไม่มีศีลน่ะ สมาธิปัญญาอย่าพูดเลย ...ศีลนี่คือรากฐาน ศีลนี้เปรียบเสมือนแผ่นดิน

ไม่ใช่มาถึงก็นั่งหลับหูหลับตาจะเอาแต่ความสงบ แล้วจะเอาปัญญาอย่างเดียว ...มันไม่ง่ายอย่างนั้นหรอก  ต้องค่อยๆ บ่มเพาะขึ้นมาทุกขณะจิต ...ความรู้เห็นตามธรรมก็บังเกิดขึ้น 

คือธรรมมันมีอยู่แล้ว  แต่การเข้าไปรู้เห็นตามธรรมนั้นน่ะจะบังเกิดขึ้น...ถ้าเราปฏิบัติตรงตามหลักแห่งองค์มรรค คือศีลสมาธิปัญญา...ไล่ไปตามลำดับ ไม่ก้าวข้ามศีล ไม่ล่วงเกินศีล

ตอนนี้ยังไม่เข้าใจหรอก ภาษาที่เราพูดคืออะไร ปฏิบัติไปเรื่อยๆ แล้วเดี๋ยวมันจะเข้าใจเอง จำได้เองว่า คำว่าก้าวล่วงศีล หรือล่วงเกินศีลคืออะไร เพราะทุกวันของสัตว์มนุษย์ในโลกนี้ อยู่ด้วยการก้าวล่วงศีล 

แล้วเมื่อใดที่มันก้าวล่วงศีลนี้ออกไป เมื่อนั้นการกระทำนั้นๆ กระทำตามสีลัพพตปรามาสหมด ...มันเป็นการยืนพื้นอยู่ในสีลัพพตะทั้งสิ้น...ด้วยความไม่รู้ตัวเลย 

แต่เมื่อใดที่มาตั้งอกตั้งใจตั้งหน้ารักษาศีล ความรู้ความเข้าใจว่าอันไหนเป็นศีลที่เป็นอธิ...หรือว่าศีลสัจจะ ...คือไม่ใช่ศีลที่เป็นสมมุติสัจจะ แต่เป็นศีลสัจจะคือศีลที่แท้

ก็จะเข้าใจถึงสีลัพพตะ ...ว่าสิ่งที่กระทำ คำที่เคยพูด จิตที่กำลังคิดเป็นสีลัพพตะล้วนๆ 

นี่ มันไม่ได้เข้าใจความหมายของสีลัพพตะตามที่เราเคยเข้าใจหรือเคยอ่านเคยจำมา ...แต่มันจะเข้าใจเมื่อมันเห็นศีลสัจจะ ไม่ใช่เห็นศีลสมมุติ ไม่ใช่แค่เห็นแค่ศีลวินัย ศีลบัญญัติ

เพราะนั้นโยมไม่อยากฟังมาก ไม่ต้องเอาอะไร บอกว่า...รู้ตัวไว้ แค่นั้น เป็นคีย์เวิร์ดหลัก เป็นคำหลัก เป็นความหมายหลัก เป็นการปฏิบัติโดยหลัก

อย่าเบื่อแค่นั้นเอง อย่าเบือนหน้าหนีแค่นั้นเอง ...ถ้าไม่เบื่อถ้าไม่เบือนหน้าหนีน่ะ เก็บเกี่ยวผลเอา ให้คอยเก็บเกี่ยวผลเอา ไม่ต้องไปคาดหมายหวัง ...ให้เก็บเกี่ยวผลเอาตามลำดับ

เพราะนั้นผลลำดับแรกที่ได้จากการรักษาศีลด้วยสติคือ ความหนักแน่นอยู่ภายใน แล้วมันจะเข้าไปสู่ความเป็นจิตหนึ่ง จิตตั้งมั่น

เมื่อใดที่รักษาสติให้เกิดความหนักแน่นอยู่ภายในมากๆ จิตจะเป็นหนึ่ง ...เมื่อใดที่จิตเป็นหนึ่ง จะเข้าใจคำว่าดวงจิตผู้รู้อยู่คืออะไร จะเห็นดวงจิตผู้รู้อยู่ปรากฏชัดเจน แยกออกจากกายอย่างชัดเจน

เมื่อใดที่ดวงจิตผู้รู้ปรากฏอย่างชัดเจน เป็นผู้รู้และผู้เห็น  เมื่อนั้นสิ่งที่มันรู้และสิ่งที่มันเห็นคือธรรมหนึ่งที่ปรากฏ ...นั่นแหละคือปัญญา แค่เนี้ย

แต่แค่พูดล่วงหน้านี่ เดี๋ยวมันจำแล้ว จะจำแล้ว ...และเมื่อจำแล้วมันจะเกิดความอยากแล้ว แล้วมันจะทิ้งเหตุแห่งการประกอบเหตุแห่งศีลแล้ว 

มันจะล่วงหน้าแล้ว จิตมันจะเกิดความล่วงหน้าไปแล้ว ...เนี่ย แล้วมันจะมีความพากเพียรเจริญสมุทัยแทนมรรคแล้ว

คือเราพูดไว้ก่อน กันไว้ เพราะรู้อยู่ว่ามันจะต้องเป็นอย่างนี้ ในภาคของการปฏิบัติ...มันอดไม่ได้หรอก ...ไอ้จะไม่พูดเลยก็หาว่าอมภูมิ (โยมหัวเราะกัน)


โยม –  ใช่ฮ่ะ

พระอาจารย์ –  เห็นมั้ยล่ะ ไอ้ความอยากรู้นี่มันก็มีปัญหาเหมือนกัน


โยม –  ก็ท่านพระอาจารย์เล่นกั๊กเอาไว้นี่

โยม(อีกคน)   อ้าวๆ ทำไมพูดอย่างนั้นล่ะ ท่านพระอาจารย์ท่านไม่ได้กั๊กอะไรเลย เพียงแต่คุณไม่เข้าใจเท่านั้นเอง

พระอาจารย์ –  แน่ะ


โยม –  ก็ชี้แนะๆ เราอยากแบบนี้ไง

พระอาจารย์ –  นั่นแหละ ให้มันเป็นไปตามลำดับ


(ต่อแทร็ก 9/19  ช่วง 3)



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น