วันอังคารที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2558

แทร็ก 9/22 (1)


พระอาจารย์
9/22 (551229C)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
29 ธันวาคม 2555
(ช่วง 1)


(หมายเหตุ  :  แทร็กนี้แบ่งโพสต์เป็น  2  ช่วงบทความ)

พระอาจารย์ –  เมื่อจิตมันตาย หรือว่าจิตสังขารตาย หรือว่าจิตปรุงแต่งมันหมดกำลังหรือเริ่มตายนี่ ตัวไหนที่มันปรากฏขึ้น...ตัวใจ ตัวใจก็จะเหมือนมีกำลัง หรือมีชีวิตขึ้น

ทำไมถึงเหมือนมีกำลังหรือมีชีวิตขึ้น...ใจนี่...ไม่มีประมาณ ใจไม่มีที่ตั้ง ใจไม่มีสัณฐาน ใจไม่มีรูปร่าง ...ถ้าเปรียบน่ะเหมือนอากาศธาตุ หรือว่าเปรียบก็เหมือนกับความว่าง 

แต่มันมีลักษณะจำเพาะตัวของมันคือ...มีการรู้และเห็น ...มันไม่เหมือนความว่าง ความว่างก็เป็นของตาย แต่ใจรู้และเห็นมันมีในสภาวะ...แต่มันไม่มีตัว

แต่คราวนี้ว่า ไม่รู้ความโง่ชนิดไหน เวลาไหน เมื่อไหร่ ที่มันมีอวิชชานี่มันมาครอบคลุมปิดบัง

คือใจธรรมชาตินี่ไม่เคยอยู่เป็นที่ เพราะธรรมชาติมันไม่มีที่ ไม่มีที่ตั้งด้วย และก็ไม่มีประมาณ ไม่มีขอบเขต ...แต่มันถูกปิดคลุมไว้ซะอย่างแนบแน่น ไม่ให้เห็นเดือนเห็นตะวันเลย

ทำไมเราถึงบอกเมื่อจิตมันตาย ใจถึงเกิดขึ้นมากขึ้น ...เพราะไอ้ตัวจิตสังขาร โคตรพ่อโคตรแม่มันคืออวิชชา...คือไอ้ตัวที่ห่อหุ้มใจนี่แหละ

เมื่อจิตสังขารหรือว่าจิตที่มันจะไปหมายมั่นข้างหน้าข้างหลัง และก็ไปหาภพ หาความเชื่อ หาสุขหาทุกข์ เข้ามาพอกพูนความมีความเป็นเรา มีเราได้-เราเสีย เรารักษาไว้ได้

ถ้าจิตมันไปทำงานตัวนั้น...มโนกรรมเกิด กายกรรมเกิด วจีกรรมเกิด ...มันได้ผลทั้งดีทั้งร้าย ทั้งได้ดั่งใจ ทั้งไม่ได้ดั่งใจ ผลที่เกิดขึ้นมาก็คือมาพอกมาหุ้มให้มันแน่นขึ้น

แต่พอจิตตาย ...คือมันออกไป...ก็ไม่ทำอะไรตามมัน ...มันก็หมดกำลังในตัวของมันเอง เพราะมันไม่มีอะไรเข้ามาเป็นอาหารหล่อเลี้ยงอวิชชา

พอมันไม่มีอะไรหล่อเลี้ยง อวิชชามันก็คลายออก หมดกำลัง เหมือนกับมันหมดกำลังในตัวของมันเอง ...เมื่อหมดกำลังมันก็...ไอ้ที่มันรัดแน่นอย่างนี้ มันก็อ่อนตัว

เมื่ออวิชชาอ่อนตัว ธรรมชาติของใจนี่มันไม่มีอะไรมาบังคับหรือควบคุมได้แล้ว มันก็จะเปิดคืนสู่ธรรมชาติเดิม ...มันก็แสดงความเป็นอิสระ กว้างขวางออกโดยธรรมชาติของเขาเอง 

นี่ไม่ใช่ว่าไปทำขึ้นนะ แต่โดยธรรมชาติเขาจะอยู่ไม่ได้ในที่ใดที่จำกัด ...เพราะนั้นความรู้สึกของคนนั้น สัตว์นั้น บุคคลนั้น มันจะรู้สึกถึงความเป็นใจที่ชัดเจนขึ้น รู้ชัดขึ้น 

กรอบของกาย กรอบของขันธ์นี่จะห่างออกไป ...เหมือนกับอะไรบางๆ น่ะ เหมือนกับเป็นฟิล์มหรือเป็นผ้าม่านบางๆ ที่ห่อไว้ มันก็ขยายออก

และเมื่อจิตตายนี่ ใจก็ชัดขึ้น เหมือนกับใจชัดขึ้น เข้าใจมั้ย ...คือความบริสุทธิ์ของใจ ก็แสดงตัวความบริสุทธิ์ภายในชัดเจนขึ้น

แต่เมื่อใดไม่ได้อยู่ในมรรค ทำพูดคิดไปด้วยความไม่รู้ตัว ...ผลของการทำพูดคิดโดยไม่รู้ตัวก็คือการพอกพูนอวิชชา...ความไม่รู้

มันก็จะห่อความไม่รู้มากขึ้น อวิชชาแรงขึ้น หนาแน่นขึ้น จริงจังขึ้นในการกระทำพูดคิดด้วยความไม่รู้ ได้ผลอะไรมาก็ดีใจเสียใจๆ มันก็ห่อขึ้นมาอีก ...อวิชชามีแรงก็รัดๆ รัดใจ

ใจก็ปิดมืดหายไปเลย รู้เห็นก็หาย...รู้อยู่ไหน เคยรู้อยู่ทำไมไม่รู้วะ นั่น เพราะไม่ได้เดินในองค์มรรค เพราะเดินไปตาม...บอกแล้วไง อย่ากระโดดเข้าไปอีกแคมเรือนึงน่ะ ใช่มั้ย เนี่ย

ก็เอาใหม่...ศีลสมาธิปัญญาเป็นที่ระลึก เป็นที่ตั้ง เป็นที่มั่น เป็นสรณะ เป็นที่พึ่ง เป็นวิถีของการเดิน ก็เจริญในศีลสมาธิปัญญา ความชัดเจนของใจก็จะเริ่มก่อตัวขึ้น 

นั่นหมายความว่าอวิชชาขณะนั้น ก็คลี่คลายออกไป ...แต่มันยังไม่ตายไง ปัญหาคือมันยังไม่ตายไง เดี๋ยวก็เอาอีกแล้ว สว่างมั่ง ใสมั่ง มืดมั่ง 

เพราะอวิชชามันยังไม่ตาย แล้วเรายังเผลอเพลิน เพลิดเพลิน ...ปัญญามันยังไม่เป็นสมุจเฉท

แต่อาศัยทำไปเรื่อยๆ จางคลายไปๆ แล้วถึงจังหวะนึงก็ขาดๆๆๆ ...พอขาดไป มันเริ่มรวมตัวกันไม่ติดแล้ว อวิชชา เริ่มมีช่องโหว่ช่องว่าง มันไม่สานกันแบบ โหย เป็นลูกโป่งเนื้อเดียวกันอย่างนี้แล้ว

อันนี้ง่ายแล้ว ถึงขั้นนั้นง่ายแล้ว ...นี่พระอริยะ ไม่หวนคืนแล้ว ไม่มีทาง ...พอถึงจุดนั่นปุ๊บนี่ เรียกว่าอวิชชานี่มันจับตัวไม่ติดแล้ว มันไม่สามารถจะมารวมปิดบังมืดได้อีกต่อไปแล้ว

พอถึงจุดที่เรียกว่า...ขาดสิ้น หมายความว่าอวิชชามันขาดสิ้นแล้ว ...คราวนี้เป็นอิสระ 

ถ้าใจดวงนี้ ถ้าใจของผู้นั้นน่ะ ขาดจากอวิชชาแล้วนี่ เป็นธรรมชาติที่เป็นธรรมชาติเหนือธรรมชาติทั้งหลายทั้งปวง เป็นอมตะธาตุ อมตะธรรมแล้วนี่ จะไม่สามารถมีอวิชชาตัวไหนเข้ามาจับมันได้อีกต่อไป 

ไม่ต้องสงสัยเลยๆ ถึงตรงนั้นแล้วจะไม่สงสัยเลยว่าจะไม่มีอะไรมาจับหรือมาห่อให้เกิดความเป็นสัตว์บุคคลหรือดวงจิตผู้รู้ขึ้นมาอีกดวงนึงได้ ไม่มีแล้ว หมดแล้ว

เพราะนั้นไอ้ตัวดวงจิตผู้รู้นั่นคือใครรู้ป่าว...อวิชชา คืออวิชชามันมารวมดวงจิตน่ะ ให้มันเป็นหนึ่ง ...ไอ้จิตหนึ่งๆๆๆ ที่ว่านั่นแหละ มันอยู่ด้วยอวิชชาห่อมันไว้ มันจึงเป็นหนึ่ง

เพราะนั้น เมื่ออวิชชาหมด ไม่เป็นหนึ่งแล้ว เป็นศูนย์ จะเป็นศูนย์แล้ว ...ศูนย์คือมันไม่มีที่ตั้ง ไม่มีตัวตน ไม่มีอยู่ในอยู่นอกขันธ์...ไม่มี

ขนาดว่าพระอนาคา ขันธ์หมดแล้วนะ ไม่ยึดถือขันธ์ ยังเหลือจิตหนึ่งเลย เหลือจิตที่เป็นเอกอยู่อย่างนั้นน่ะ ...ไอ้เอกอยู่อย่างนั้นนั่นแหละอวิชชา แต่ว่าเป็นอวิชชาที่พร้อมจะถูกทำลายลง กำลังจะทำลายต่อไป

พอทำลายปุ๊บนี่ หมดแล้ว หนึ่งก็ไม่มีแล้ว กลายเป็นสรรพสิ่ง เป็นหนึ่งเดียวกันกับสรรพสิ่ง เหนือสรรพสิ่งในสรรพสิ่ง ...ไม่รู้จะอยู่ตรงไหนแล้ว

พอถึงจุดนั้นหมายความว่าอวิชชาไม่สามารถจะมาจับรวมเป็นดวงจิตผู้รู้ แล้วเอาดวงจิตผู้รู้ไปแทรกซึมอยู่ในธาตุวัตถุ มหาภูตรูปใดมหาภูตรูปหนึ่ง

เพราะไอ้ตัวมหาภูตรูปเขาก็อยู่ของเขาน่ะ ก็ไม่ได้ไปยุ่งอะไรกับใคร ...ไอ้ดวงจิตผู้รู้นี่แหละ ผู้รู้ที่ยังรู้ไม่จริงนี่ มันเข้าไปสวมทรง แล้วเข้าไปดึงไว้

นี่ ซับซ้อนมาก ละเอียดลึกซึ้งเกินปัญญาหัวไอ้เรืองจะไปนึกถึง กระบวนการของมัน ...ขนาดพระพุทธเจ้ายังบอกเลยว่าอจินไตย

บางคนก็สงสัย อ้าว ถ้ามันรวมกันอย่างนี้ แล้วก็เดี๋ยวเกิดมันมารวมใหม่จะทำยังไง ก็ทีมันอยู่ดีไม่มีอะไรก็ยังมีอวิชชามาจับมันเป็นสัตว์บุคคลนี่ ใช่มั้ย แล้วถ้าเดี๋ยวมันรวมเกิดใหม่อีก ถ้าเกิดเป็นอย่างนั้นล่ะ

อย่าไปสงสัย นี่ พระพุทธเจ้าถึงไม่บอกไงเรื่องการเกิดขึ้นของดวงจิต ว่ามนุษย์เกิดอย่างไร จิตเกิดอย่างไร ...เอาเป็นว่ามันเกิดแล้ว มันถูกรวมแล้ว

ไม่ต้องไปหาว่ามันรวมยังไงวะ แล้วกูจะถูกรวมอีกมั้ย แล้วกูจะปฏิบัติไปทำไมวะนิพพาน ใช่มั้ย เออ เดี๋ยวมันเกิดใหม่ จับมาใหม่...ก็เป็นอีกคนไม่ใช่เราแล้ว เป็นใครก็ไม่รู้อย่างเนี้ย

ไม่ใช่...คือถ้าหลุดแล้วหลุดเลย หมายความว่ามันจะจับอีกไม่ได้แล้ว ...เพราะอะไร ...เพราะไอ้ดวงจิตนี่ อเนกอนันต์ มันมีอยู่แล้ว และไม่ต้องถามว่ามันมีแค่ไหน มันมีแบบไม่มีประมาณเลย 

แล้วไม่ต้องถามว่ามันเริ่มมายังไง ไม่รู้ พระพุทธเจ้าไม่ตอบ ...ไม่ต้องสงสัย เอาว่าตอนนี้เรามี และก็มีจิต แล้วก็มีของเราในจิตอยู่อย่างนี้ แล้วก็ทำลายตัวจิตนี้ ทำลายตัวเราในจิตนี้ 

แค่นั้นแหละหน้าที่ ...จบแล้วจบเลย ไม่ต้องคิดมาก รับรอง ไม่มีอะไรจะมาจับจิตได้แล้ว มันรวมไม่ได้ มันไม่มีความเป็นเราเมื่อเข้าสู่นิพพาน

ต่อให้ว่า เอ มันน่าจะเป็นเราที่ไม่ใช่เราก็ได้นะ ...เออ ไอ้นี่...ฟุ้งซ่าน ไอ้นี่น่ะฟุ้งซ่าน คิดมาก มัวแต่คิด ไม่ได้เข้านิพพานแล้วอย่างนี้ เห็นมั้ย ก็ต้องละออกจากความคิดเหล่านั้น ความสงสัยอย่างนั้น

อย่าไปเชื่อมันจิตน่ะ มันพาให้เสียเวลา พาให้หลงวนอยู่ในอะไรก็ไม่รู้  แล้วมันก็คิดเอง เออเอง...น่าจะเป็น ...เออ น่าจะใช่เว้ย อะไรอยู่อย่างนี้ มันคิดแบบโง่ๆ แล้วก็ยึดมั่นแบบโง่ๆ อะไรก็ไม่รู้ ว่ากันไป

พอคิดซ้ำๆ นานๆ หน่อย 'เอาล่ะโว้ย อย่างนี้แหละใช่แล้ว' ...นั่น เหมือนกับหมออย่างนี้ วินิจฉัยโรคงี้ เออ ยังงี้ๆ อาจจะไม่ใช่เหตุนั้นก็ได้ ...หมอไม่เคยวินิจฉัยเรื่องของกรรมนี่ ใช่มั้ย 

บางทีไปหาหมอ หมอยังบ่น ไม่รู้มันเป็นอะไร ...นี่ หาสาเหตุไม่เจอ แต่ก็พยายามนึกๆ คิดๆ เปิดตำรับตำราแล้วก็เอามารวมกันแล้วก็บอก' น่าจะ' ...ก็แค่น่าจะ สมมุติฐาน แต่ความจริงอาจจะใช่แค่เสี้ยวหนึ่ง

แต่ความเป็นจริงนี่มันลึกซึ้งกว่านั้น ในเหตุปัจจัยนี่ มากมายมหาศาล ...อย่างว่านั่งอยู่นี่ ทำไมถึงนั่งอยู่ได้ 

ไม่ใช่มีแค่กายนะ ไม่ใช่มีแค่จิตนะ ...โลกนี้ยังมี...ผืนดินมันยังไม่แยกออก ลมไม่ได้พัด หลังคายังคุ้มหัวอยู่แดดไม่ส่อง ชั้นบรรยากาศยังมีอยู่ แสงอุลตราไวโอเล็ตยังส่องมาไม่ถึง ...ถึงนั่งได้

เห็นมั้ย แค่นั่งได้นี่...กี่ล้านเหตุปัจจัยแล้ว ไม่ใช่แค่ว่านั่งแล้วก็มีแค่นี้นะ เหตุปัจจัยที่ดำรงแห่งการนั่งอยู่นี่ นับไม่ถ้วนเลย ...แล้วจะไปรู้ได้ยังไงว่านั่งได้เพราะเรานั่งได้แค่นี้เหรอ...ไม่ใช่

จริงๆ แล้วเหตุปัจจัยมันซับซ้อน เกื้อหนุนกันเป็นลูกระนาดเลย ...ถ้าเกิดแผ่นดินไหวนี่ก็นั่งไม่ได้ ถ้าเกิดลมทอร์นาโดมาตอนนี้ ก็นั่งไม่ได้

เห็นมั้ย ทุกอย่างมันมีเหตุปัจจัยที่ยังเอื้ออยู่นะเนี่ย มันถึงนั่งได้ ...ไม่ใช่แค่คิดว่าเรานั่งก็นั่งได้เลยนะ เหตุปัจจัยทั้งนั้นเป็นองค์ประกอบให้เกิดการนั่งนี้สำเร็จ

แต่พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าถ้าไปคิดมาก ถ้าไปหาเหตุหาผลกับมันนี่...ไม่จบ ...เหมือนกับป่วยอย่างนี้ ถ้าไปนั่งคิดนั่งนึก ...เอ เพราะอะไรวะ จะแก้ยังไงดี...ไม่จบ

มันไม่ใช่แค่ว่าที่เราคิดได้หรอก ไอ้ที่ยังคิดไม่ได้อีกเท่าไหร่ ...อาจจะเคยไปตีหัวพระอริยะเมื่อล้านปีก่อนก็ได้ ใช่มั้ย เป็นเหตุหนึ่ง เป็นปัจจัยหนึ่ง

เอ้า แล้วจะแก้ยังไง ฮึ แล้วมันจะแก้ได้ยังไง ...ไปขอโทษขอโพยรึ ...พอดีเข้านิพพานแล้ว (หัวเราะกัน) ทำยังไงล่ะ ใช่มั้ย 

เราเคยไปฆ่าคนนั้นฆ่าคนนี้ แล้วมันมีเศษกรรมตกค้างทำให้เจ็บตรงนู้นเจ็บตรงนี้ แล้วเราไปขมาตรงไหน พอดีท่านเข้านิพพานไปซะแล้ว จะนิพพานตรงไหนก็ไม่รู้ สมมุติบัญญัติก็ไม่มี

เนี่ย จะไปรู้ทำไม ...รู้ว่าตอนนี้มันป่วย รู้ว่าเวทนาตั้งอยู่ รู้แค่ปัจจุบันที่ปรากฏ ธรรมจำเพาะหน้าแค่นั้น แล้วก็...เออ มันตั้งก็ตั้ง มันไม่ดับก็ไม่ดับ มันมากก็มาก มันน้อยก็น้อย

ท่านบอกให้รู้จำเพาะหน้า รู้จริง รู้แค่จริงๆ อดีตอนาคตอย่าไปฟื้นฝอยหาตะเข็บ ...จิตน่ะมันชอบหาเรื่องนะ แล้วมันก็เข้าใจว่าไอ้การหาเรื่องนั่นคือ...ปัญญาเยอะ

รู้เรื่องมากแล้วก็จะเข้าใจมากกว่าคนอื่นเขา ...ก็ไอ้เข้าใจมากกว่าคนอื่นเขานั่นแหละคือโง่มากกว่าคนอื่น หลงมากกว่าคนอื่น ถือตัวตนมากกว่าคนอื่น เป็นของเรามากกว่าคนอื่น

เนี่ย มันไม่รู้ในอีกมิติหนึ่งว่า ขณะที่มันรู้มากมันก็มีความถือตัวมาก ...เหมือนเราเรียนสูง มองเห็นเด็กป.4 มันต้องอยู่ระดับนี้ ถ้าคนที่อ่านหนังสือไม่ออกเขียนหนังสือไม่เป็นเลยก็อย่างนี้

มันรู้สึกเหนือกว่า...เพราะ "เรารู้มากกว่า" ...เพราะมี “เรา” ที่รู้มากกว่า ...ไม่ใช่ความรู้มากกว่า 

ไอ้เพราะ “เรา” รู้มากกว่า นั่นน่ะ มันมีปัญหาตรงนั้น...เพราะ “เรา” เป็นเพราะ “เรา”


(ต่อแทร็ก 9/22  ช่วง 2)



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น