วันพุธที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2558

แทร็ก 9/19 (3)


พระอาจารย์
9/19 (551219D)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
19 ธันวาคม 2555
(ช่วง 3)


(หมายเหตุ  :  ต่อจากแทร็ก 9/19  ช่วง 2

โยม –  พระอาจารย์ ที่ว่าวิสุทธิ ๗ ประการนั่นน่ะค่ะ  ศีลวิสุทธินี่ก็คือศีลที่พระอาจารย์พูดนี่เองใช่ไหมคะ

พระอาจารย์ –  นั่นแหละ ความปรากฏขึ้นของศีล


โยม (อีกคน) –  ที่พระอาจารย์พูดว่า รู้กายก็รู้ใจ คืออย่างรู้ว่านั่งนี่ ก็คือจะรู้ว่ามีผู้ดูอยู่ ใช่ไหมคะ

พระอาจารย์ –  ให้มันมีแค่สองสิ่ง ชัดๆ แล้วเมื่อกายชัดเมื่อไหร่ ใจจะชัดขึ้นเท่านั้น ...เมื่อใจมันชัดแล้วนั่นน่ะ เดี๋ยวมันจะรวมอยู่ที่นั้น


โยม –  คือโยมไปปฏิบัติโดยที่ว่า ไปรู้ที่ใจนี่  แต่เวลาเดินจงกรมนี่ก็รู้ว่ามันกำลังก้าวเดิน  อันนั้นถูกไหม

พระอาจารย์ –  ฮื่อ ถูกแล้ว ให้มีของคู่ ต้องมีกาย ต้องมีรู้ ...อย่ารู้โดดๆ ยังรู้โดดๆ ไม่ได้  อย่าไปประมาทว่ารู้โดดๆ ได้แล้ว แล้วไปจับอยู่ที่รู้อย่างเดียว ...ไม่ได้

กำลังของสมาธิ กำลังของปัญญาเรายังไม่เพียงพอที่จะไปรักษาใจ ยังรักษาไม่ได้ ...ศีลยังขาด ไม่ได้เลย


โยม –  เพราะนั้นจะทิ้งกายไม่ได้

พระอาจารย์ –  ยังทิ้งกายไม่ได้...ในระดับนี้ จนถึงระดับกลาง...จนถึงระดับปลายของมรรคเลยนะ กายนี่

เพราะนั้นผู้ที่จะทิ้งกายได้ เราบอกทุกคนเลยว่า ผู้ที่จะทิ้งกายได้มีคนเดียวคือ พระอนาคามี ...ถ้าต่ำกว่าระดับอนาคามี ยังทิ้งกายไม่ได้

เพราะนั้นเมื่อระดับพระอนาคามี...ท่านไม่มีกายแล้ว ท่านทิ้งกายได้แล้ว นั่นน่ะดวงจิตนี่ไม่ทางหลุดแล้ว

ใจผู้รู้นี่จะอยู่แบบเหมือนพระอาทิตย์กลางหาวเลย เหมือนพระจันทร์วันเพ็ญเลย ไม่มีเมฆไม่มีหมอกมาบังเลย ...นั่นแหละ ถึงจะเรียกว่าดวงจิตอันวิสุทธิ์ จึงเข้าสู่วิสุทธิจิต

แต่ยังไม่เป็นวิมุตติจิตนะ ยังแค่วิสุทธิจิต อยู่กับวิสุทธิศีล ...เพราะนั้นทุกสิ่งทุกอย่างจึงเป็นศีลหมด ไม่ใช่แค่นี้นะ ...ไม่ใช่แค่นี้แล้วนะ

ท่านลบล้างความเป็นกายหมดสิ้นแล้วนะ ทั้งหมดเลยคือศีล...วิสุทธิศีล ...ไอ้คำว่าวิสุทธิ ๗ ศีลบริสุทธิ์ทั้งหมดคือทั้งโลก ทั้งปวง


โยม –  หมดทั้งโลกเลยหรือ

พระอาจารย์ –  หมด...สามโลกเลย คือ วิสุทธิศีล ...เห็นมั้ยว่า “ศีล” นี่พวกเราประมาท เราไม่เข้าใจถึงความหมายของศีลที่แท้จริงเลย ไปคิดว่า ไม่ฆ่าสัตว์ลักทรัพย์แค่นี้ ...หยาบเกินไป

บอกแล้วถ้าจรดไว้ที่กายนี้กายเดียว...หมด...สามโลกธาตุ วิสุทธิศีล ด้วยวิสุทธิจิต ...และอาศัยตรงนี้ที่ว่าวิสุทธิศีลกับวิสุทธิจิต นั่นแหละคือกายวิเวกและจิตวิเวกโดยสมบูรณ์

จึงเข้าถึงที่เรียกว่า ปริสุทธิวิเวก สุดท้าย นั่นแหละคือผล นั่นแหละคือวิมุตติ และธรรมที่เป็นวิสุทธิศีลนั่นคืออนัตตธรรม

และเมื่อเห็นความเป็นวิสุทธิศีลที่เป็นอนัตตธรรมทั้งหมด นั่นแหละ อนันตมหาสุญญตา

ไม่ใช่อยู่ดีๆ มันจะเกิดขึ้นนะ ...เราถึงบอกว่าไอ้อย่างเนี้ยเราก็ไม่อยากจะพูด  เพราะมันจะจำ แล้วมันจะอยาก แล้วมันจะไปสร้างจำลองขึ้น

จิตน่ะมันขยันนัก สร้างเก่งนัก ไอ้เรื่องการจำลองนี่...โมเดลน่ะ (โยมหัวเราะ) โมเดลนี่เต็มเลย

มันสร้างโมเดลขึ้นมารองรับเลย แล้วก็เข้าไปถือครองเอาแบบดื้อๆ เลย ...สำเร็จอรหันต์กันมาหมดแล้วนี่ ใช่มั้ย


โยม –  โยมไม่ (หัวเราะกัน)

พระอาจารย์ –  มันจำลองกันมา เข้าใจมั้ย แล้วก็ถูกน้อมนำให้เชื่อ ...มันก็สร้างเป็นทิฏฐินี้ขึ้น แล้วก็พยายามรักษาทิฏฐินี้ ที่มันเป็นแค่ทิฏฐิขึ้นมา  เนี่ย จิตมันจำลอง ...น่ากลัว

เราถึงบอกว่า อย่าได้เป็นเอื้อนอ่อยคล้อยตามอาการ ...ทำจิตให้เป็นหนึ่ง ตั้งมั่นให้มาก เป็นหนึ่งกับกาย ให้กายกับรู้นี่คู่กัน  อย่ารู้อะไร...นอกเหนือจากกายนี้ แค่เนี้ย จิตจะตั้งมั่นขึ้นตามลำดับเอง

เมื่อจิตตั้งมั่นทุกอย่างจะชัดเจน ไม่สงสัย ไม่คลุมเครือ ไม่เคลือบแคลง ...เนี่ย มันก็จะคลายจากความเป็นวิจิกิจฉาไปตามลำดับ

พร้อมกับสักกาย...คืออดีตและอนาคตของกาย ของความเป็นสัตว์และบุคคล ข้างหน้าข้างหลัง ...เนี่ย ทุกอย่างมันจะเข้าใจเป็นเกลียวคลื่นที่มันหมุนกันไปในองค์มรรคนี่

ขอให้ทำจริงปฏิบัติจริงในเบื้องต้นของศีลนี่แหละ คือการรู้ตัว...รู้กาย นะ ...แล้วทุกอย่างมันก็อยู่ในวิถีแห่งมรรค วิถีแห่งความรู้แจ้ง หรือวิถีแห่งพุทธะ วิถีแห่งอริยะ

นี่มันอยู่ในวิถีนี้หมด ไม่แตกจากวิถีนี้ได้เลย ...ไม่สามารถจะแตกจากวิถีนี้แล้วมาบอกว่าเห็นนิพพานหรือว่าถึงนิพพานได้เลย...ไม่มี ไม่มีใครเลยที่จะออกนอกเส้นทางนี้แล้วจะเข้าสู่นิพพาน

ต่อให้เคยเชื่อว่าเป็นอรหันต์หรือว่าเข้าถึงอรหันต์ แต่ไม่ได้เดินในเส้นทางนี้ รู้ไว้ ไม่มีทางใช่เลย ...เมื่อมาเริ่มเดินใหม่แล้วจะรู้เลยว่าที่แล้วมามันผิดอย่างไร มันเคลื่อนอย่างไร

บอกแล้วว่าศีลสมาธิปัญญาไม่ไปไหนหรอก ...แต่จิตมันไปก่อนแล้ว ไปถือเอา ไปครอง ไปเสวยภพนั้นๆ ...แม้แต่อรหันต์ก็ยังเป็นภพขึ้นมา แล้วอรหันต์นั้นก็เป็น “ของเรา” ขึ้นมา

แค่ตราบใดที่มีอะไรเป็น “ของเรา” ขึ้นมา สักกายตัวแรกยังไม่จบ ...อย่าถามเลยว่าเป็นอรหันต์จริงมั้ย ไม่มีทางเลย  ถ้ายังมี “เรา” “ของเรา” อยู่ อะไรก็ตาม

เพราะนั้นว่าถ้าดำเนินไปในองค์มรรคตั้งแต่เบื้องต้นคือศีลไป รู้ว่านั่ง นั่งๆๆ แล้วก็รู้ว่านั่ง ...ตรงนั้นน่ะ ไม่มีเรา ตรงที่นั่งนั่นน่ะไม่มีเราเลย เหมือนลืมไปเลยว่าเราอยู่ไหน หาเราไม่เจอตรงนั้น

เหมือนกับมันเพลินอยู่กับการรู้ตัว เหมือนลืม เหมือนเราหายไปจากโลกนี้เลย ...นั่นแหละ ใช่เลย เป็นไปตามการที่เป็นไปเพื่อละสังโยชน์ในเบื้องต้น

เห็นมั้ยว่าแค่รู้ตัวนี่ มันไม่ได้ยากอะไร ...แต่ผลนี่มันไม่สามารถจะมาบิดเบือนตามที่พระพุทธเจ้าท่านบอกได้เลย ผลก็ปรากฏขึ้น ผู้ปฏิบัตินั้นก็รับทราบเอง

ไม่ต้องให้ใครมาชี้แนะ หรือมาบอกกล่าวว่าถูกหรือผิด ...มันก็เห็นอยู่เลยว่าความเป็นสักกาย ความเป็น “เรา” “ของเรา” ตรงนี้ไม่ปรากฏได้เลย

และถ้ามันทำไปเรื่อยๆ ต่อเนื่องจนเป็น “บริบูรณ์” น่ะ จนศีลนี้บริบูรณ์ จนศีลนี้เต็มล่ะ มันจะขนาดไหนล่ะ ...มันไม่ต้องถามใครเลย มันก็รู้เลยว่าการกระทำของเรานี่เต็มรึยัง

ให้ถามตัวเองแค่นี้ แล้วก็เติมไอ้ส่วนที่ไม่เต็มให้เต็ม...เต็มในศีลนะ ...มันขาด มันหาย มันหลุดเป็นช่วงไหนล่ะ เติมให้ได้ ไม่ได้ก็ต้องได้

ไม่ต้องมากลับกลอก มาเล่ห์มาเหลี่ยมอ่ะ หลอกตัวเองน่ะหลอกไม่ได้หรอก ...มันหลงอยู่ประจำก็ต้องรู้ให้ได้ตรงนั้น

กายมันหายตอนไหนล่ะ ตอนกินรึ ตอนคุยล่ะ หรือตอนทำงาน หรือตอนเดินเล่น หรือตอนไหนล่ะ มันต้องมีอ่ะ ...เราต้องเติมให้เต็ม ศีลน่ะต้องบริบูรณ์

ไม่ใช่อยู่ทั้งวันน่ะ...ไม่รู้ กายไม่อยู่ในโลกนี้ เป็นไปได้ยังไง ใช้ชีวิตอยู่ตั้งแต่เช้าจรดเย็นไม่ปรากฏเลยว่ากายนี้มีอยู่ในโลกนี่ แปลว่าอะไร ...มันหลงแบบไม่ลืมหูลืมตา ตาในยังไม่เกิดเลย

แต่เมื่อใดที่มันมีความรู้ตัวอยู่ว่า เออ ตัวเรายังอยู่ในโลกนี้นะ ยืนเดินนั่งนอน...นี่คือภพปัจจุบันบังเกิดขึ้นแล้ว ความเป็นจริงของภพชาติในปัจจุบันปรากฏแล้ว

ถ้าทำอย่างนี้ไม่ผิดหลักหรอก ไม่ผิดหลักของพุทธะ หรือสาวกพุทธะ 

แต่ถ้านอกออกจากนี้ไป ออกนอกหลักพุทธะ อาจจะได้เป็นปัจเจกพุทธะ หรือไปสำเร็จกับพุทธะองค์อื่น ก็มีนะ...ได้นะ

การปฏิบัติที่มันหลากหลายแนวนี่ บอกให้ ไม่ใช่ว่ามันไม่ถูกไม่ได้นะ ...ได้...แต่ว่าอาจจะไม่ใช่พุทธะองค์นี้ หรืออาจจะเป็นพุทธะขึ้นมาเอง เป็นปัจเจกเลย 

แต่บอกว่าภพชาตินี่ไม่จบเลยนะ ไม่รู้จะเมื่อไหร่เลยแหละ

แต่ถ้าพุทธะองค์นี้ มรรคนี้ มัชฌิมาเช่นนี้ ศีลสมาธิปัญญาอย่างนี้ในโลกนี้ปัจจุบันนี้...ใช่เลย พอดีเลย ควรแล้ว เป็นการปฏิบัติธรรมที่สมควรแก่ธรรม

สมควรแก่ธรรม...ธรรมคือทั้งหลายทั้งปวงในโลกปัจจุบัน การปฏิบัตินี้จึงสมควรแก่ธรรมเช่นนี้

ไม่ใช่ดาวอังคารนี่ ไม่ใช่สุริยะจักรวาลอื่น นั่นก็ธรรมอีกแบบนึง ...พระพุทธเจ้าไม่ได้มีองค์เดียว เดี๋ยวนี้ก็ยังมีพระพุทธเจ้า แต่ว่าอีกทวีปนึง

ในอนันตาจักรวาลนี่มีหลายทวีป มีหลายโซน หลายกาแล็กซี่ ...ในแต่ละส่วนกาแล็กซี่ที่มันมีสัตว์...ก็มีพุทธะ แล้วก็มีธรรมที่เหมาะควรแก่ธรรมะเช่นนั้น กลางเช่นนั้นอย่างไร

เราบอกแล้วไงการปฏิบัตินี่ทำไปเหอะ แต่จะไปสำเร็จกับพุทธะองค์ไหนไม่รู้นะ

แต่ถ้าพุทธะองค์นี้ สมณโคดมนี่ โลกตอนนี้เดี๋ยวนี้ นี่คือมัชฌิมาปฏิปทา ศีลสมาธิปัญญา ...พอดีแล้ว ควรแล้วแก่นิพพาน ที่จะบังเกิดในปัจจุบัน

ท่านยืนยันว่าบังเกิดในปัจจุบันนะ เจ็ดปี เจ็ดเดือน เจ็ดวัน ...ท่านไม่ได้พูดข้ามชาติไปสำเร็จกับพุทธะองค์อื่นเลย

พอดีแล้วในปัจจุบันกับผู้ที่ประพฤติธรรมสมควรแก่ธรรม...จึงจะเห็นธรรมตามจริง

แต่มันยากกันตรงไหน ...เพราะมันรู้เกินธรรม จิตนี่มันรู้เกินธรรม มันรู้เกินจริง มันรู้เกินที่มันปรากฏ ...มันรู้เกินปัจจุบัน แล้วก็มันรู้ขาดจากปัจจุบัน

สองอย่างนี่ที่เป็นตัวที่ปิดบังธรรม ...แล้วก็ยังสนับสนุนการเข้าไปปิดบังธรรม ด้วยการอ้างเหตุแห่งการปฏิบัติต่างๆ นานา อ้างเหตุแห่งผลต่างๆ นานา

จิตมันอ้าง แล้วก็อยู่ใต้อำนาจการเอื้อมอาจเอ่ยอ้างของจิตนั้นๆ ...จึงเป็นการปฏิบัติที่ยิ่งปฏิบัติไปเท่าไหร่ก็ยังจะยิ่งปิดบังธรรมขึ้นเท่านั้น

เราถึงบอกว่าอย่ามาเกิดช้ากว่านี้นะ อย่ามาถามเลยว่าเมื่อปี พ.ศ. 4980 ศีลอยู่ไหน อะไรเป็นสมาธิ ...ไอ้คนตอบนี่ "ห๊า อะไรวะ" ...จะไม่ได้คำตอบอะไรเลย บอกให้

นี่ขนาดสองพันห้าร้อยปีกว่าน้อยๆ ยังงงไปงงมาเลย

อ่ะ เอาแล้ว พอแล้ว พอ มันเกินนิพพานแล้ว เห็นมั้ย เกินนิพพานไปจนถึงพระพุทธเจ้าองค์นู้นแล้ว (โยมหัวเราะกัน) นี่พูดจนข้ามพระพุทธเจ้าไปแล้ว

ก็ทำให้มาก รู้ตัวให้มาก...ที่เดียว.


……………………...




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น