วันศุกร์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2558

แทร็ก 9/23 (2)


พระอาจารย์
9/23(551229D)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
29 ธันวาคม 2555
(ช่วง 2)



(หมายเหตุ  :  ต่อจากแทร็ก 9/23  ช่วง 1

พระอาจารย์ –  แต่ถ้าเห็นจริงนี่ เห็นแจ้งแล้วนี่...อ๋อ มันเป็นอะไรอย่างหนึ่ง มันเป็นอะไรอย่างหนึ่งที่ไม่มีสัญญลักษณ์บ่งบอกแต่ประการใด

มันเป็นก้อนธาตุ มันเป็นก้อนทุกข์ มันเป็นก้อนธรรม มันเป็นก้อนแปรปรวนไปมา มันเป็นก้อนที่ไม่มีความหมายใดๆ ...นี่ มองกายให้ถึงแก่นของมัน

ก็บอกแล้วว่าถ้าผูกไว้ล่ามไว้ด้วยเชือกหรือโซ่น่ะ ...ไอ้ตัวที่ล่ามไว้ก็คือสติ ล่ามไอ้ตัวที่เป็นตัวเรานั่นแหละก็คือตัวจิต...จิตเรานั่นแหละ เอาสติมาล่ามจิตไว้กับเสาคือกาย 

แล้วคอยจดจ้องให้มันมองตรงที่นี้  เดี๋ยวมันจะเข้าใจเอง...เพราะมันมีเสาอันเดียว

ถึงมันจะว่า "เบื่อจัง ฮื้อ ไม่สวย ไม่ได้อะไร" ...เพราะมันอยากไปรู้เรื่องอื่นเหลือเกิน จิตน่ะ เพราะมันบอกว่ารู้แค่นี้ไปไหนไม่ได้ มันเชื่อของมันเอง  

แต่ถ้าแจ้งตรงนี้แล้วนี่ การเดินไปในองค์มรรคต่อจากนี้ไป...ง่าย จะเริ่มง่ายขึ้น ...คือมันเริ่มไม่สนใจเรื่องอื่นนอกตัวแล้ว 

เนี่ย ที่เราบอกว่าสองตีนมันจะเหยียบอยู่ฝั่งนี้ มันจะหยั่งอยู่ภายใน ...แล้วจะเกิดสันดานใหม่...สันดานใหม่เรียกว่านิสยปัจจโย ...ศีลสมาธิปัญญาจะเกิดนิสยปัจจโยขึ้นภายใน

เอะอะมะเทิ่งอะไรมาปุ๊บ...กลับ ไม่ได้ตั้งใจกลับ...มันกลับเอง ...อาจจะหลงเพลินด้วยโมหะเบาๆ เจือๆ จางๆ ไหลแล้วไปเจอเหตุที่เกิดขึ้นแบบฉับพลันไม่คาดฝัน...ปุ๊บ มันกลับ

จากที่ธรรมชาติของคนทั่วไปนี่...เหตุอะไรเกิดจะพุ่งออก คิด นึก  แล้วก็ตั้งท่าว่าจะปกป้องอย่างไรดี จะมีกระบวนการตอบโต้ทันทีที่มีการส่งออกเลย

แต่นี้มันจะเกิดนิสัยใหม่...พอเหตุอะไรเกิด จะดั่งคาดหรือไม่ดั่งคาด ปุ๊บ มันกลับมาเลย...รู้อยู่ที่นี่ เป็นอัตโนมัติของมันเอง ...แล้วไอ้ตัวอัตโนมัติของมันเองนี่ มันจะเกิดขึ้นเรื่อยๆ จนอยู่ตัว จนอยู่กับตัว

หมายความว่าอยู่ตัวยังไง อยู่ตัวเพราะอะไร ...อยู่ตัวเพราะศีลสมาธิปัญญามันมีกำลังที่จะเลี้ยงตัวใจได้ด้วยตัวของมัน

แต่ว่าเราก็ต้องพอกพูนศีลสมาธิปัญญา จนมันมีกำลังพอที่จะเลี้ยงใจปัจจุบันจิตปัจจุบันให้อยู่ในที่ในทาง ...เรียกว่ามหาสติจึงจะเกิดขึ้น

พอถึงจุดถึงขั้นมหาสติแล้ว...ทุกอย่างง่ายหมด ไม่กลัวอะไรเลย นะ ...เจออะไรก็ได้ ไม่เจอก็ได้ แล้วทุกอย่างดีหมด ...ดียังไง ...คือกูจะได้เข้าใจ กูจะได้ละมัน

อยากเห็น ...เคยรู้สึกอย่างไร เคยมีอารมณ์อะไร อยากให้เห็นอาการของมัน จะได้ชำระๆๆ ...การเห็นทุกครั้งในมหาสตินี่คือการชำระหมดเลย เป็นการล้าง

เหมือนกับซักฟอกไอ้ที่มันห่อหุ้มน่ะ มันจะได้บาง ...ถ้ามันไม่มีอะไรมาซัก ไม่มีอะไรมากระทบ มันรู้สึกว่ามันไม่ได้ทำงาน มันเหมือนมีงาน หางานทำอยู่ตลอด หรือว่ามีงานให้ทำอยู่ตลอดยิ่งดี

ซึ่งแต่ก่อน ไม่อยากเจอเรื่อง ไม่อยากมีเรื่อง ไม่อยากให้จิตมีอารมณ์ ไม่อยากให้จิตเกิดอะไรอย่างนี้ ...แต่ตอนนี้อะไรก็ได้มาเถอะ มันหมุนเป็นจักรผันเลย

เพราะอะไร ...เพราะยิ่งไว ยิ่งเร็ว ยิ่งหมดภาระได้เร็ว ยิ่งล้างตัวมันเองออก ล้างตัวที่ครอบงำใจได้เร็วขึ้น ...เพราะนั้นจะไม่กลัวอะไรเลย เผชิญกับทุกสิ่งด้วยความตั้งมั่น องอาจ อาจหาญ เป็นกลาง

ตั้งมั่นสู้ด้วยความเป็นกลาง...ไม่ได้สู้ด้วยการเอาชนะอะไรเลย ...เป็นกลางอยู่กับมัน ด้วยความไม่หวั่นไหว แล้วทุกอย่างก็เป็นไปตามธรรมโดยสมควรแก่ธรรม จนที่สุดของธรรม นั่นแหละแจ้ง...โลกวิทู คือแจ้งหมด

เพราะนั้นว่าพวกเรานี่ ที่ขาดคือศีลกับสมาธิ  ปัญญามีเล็กๆ น้อยๆ พอกระเส็นกระสาย ...อย่าไปมุ่งกับมันมาก แล้วมันจะมากขึ้นมาเองเมื่อศีลเรามาก..สมาธิเรามาก

ถ้ารู้ตัวได้นาน รู้ตัวได้ต่อเนื่อง ให้สังเกตดู จิตจะผ่องใส ทุกอย่างจะชัดเจน การไปการมาโดยที่ไม่อาลัยอาวรณ์ ...ตรงนั้นน่ะปัญญาเกิดขึ้นแล้ว เพราะมันชัดเจนในความไม่มีตัวตนของสิ่งนั้นๆ

เพราะนั้นมันจะเห็นความเป็นไตรลักษณ์ และยอมรับความเป็นไตรลักษณ์ในตัวของมันพร้อมกันเลย ...โดยที่ไม่ได้บอกด้วยซ้ำว่าเป็นไตรลักษณ์

เพราะไอ้ของต่างๆ ที่มันเกิดมันดับ มันก็ไม่เคยพูดว่า กูเป็นไตรลักษณ์นะ กูเที่ยง กูไม่เที่ยง กูไม่มีตัวตน ...ไม่มี มันไม่ได้บอกเลยนะ

แต่เมื่อมีความชัดเจนแล้ว ทุกอย่างมันผ่านแบบเร็วมาก และรู้สึกเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย ...นั่นแหละ แปลว่าจิตมันเห็นไตรลักษณ์แล้วเชื่อในไตรลักษณ์ในตัวของมัน โดยไม่มีภาษา

นั่นแหละปัญญาเกิดขึ้นแล้ว อะไรก็ง่าย เงื่อนไขน้อย แล้วก็ไม่มีท็อกซิทหรืออาการตกค้าง...คือสัญญา

เพราะนั้นยิ่งเจริญความรู้ตัว สติกับกายปัจจุบันไป ให้สังเกตดูว่า ผลมันจะเกิดเป็นอย่างนี้ ...เพราะนั้นผลของการปฏิบัติคือทุกข์น้อยลง...คือทุกข์อุปาทานนั้นน้อยลง

แต่ทุกขสัจชัดขึ้น เย็นร้อนอ่อนแข็งนี่ชัดขึ้น การเห็นการได้ยินชัดขึ้น แต่อุปาทานน้อยลง ...ทุกข์อุปาทาน ความอึดอัดคับข้องกับไอ้สิ่งนั้นที่มันชัดขึ้นนี่น้อยลง

ซึ่งแต่ก่อนเราจะพยายามให้ไม่ชัด หรือแกล้งปิดบัง ไม่ยอม ...เพราะอะไร ...เพราะกลัวอุปาทาน กลัวทุกข์อุปาทาน ...ตอนนี้ไม่กลัว ทุกอย่างชัด อุปาทานน้อย

เออ มันเป็นปฏิภาคกัน ปัญญามันจะเป็นอย่างนี้  เพราะนั้นจะไม่กลัว...ไม่กลัวสิ่งที่ปรากฏในปัจจุบัน แล้วก็ไม่กังวลกับสิ่งที่ยังไม่ปรากฏในปัจจุบัน เพราะนั้นจิตก็จะไม่ไปจมแช่อยู่ในอดีตและอนาคต 

ที่มันไปจมแช่อยู่ในอดีตอนาคตเพราะมันกลัว...กลัวว่าพรุ่งนี้จะเป็นยังไง พรุ่งนี้เราไปทำงานแล้วเราจะเจออะไร ...ถ้ามันไม่คิดไว้ก่อนมันอยู่ไม่ได้ มันทำไม่ได้ ...นี่ มันกลัว 

พอมาถึงตรงนี้มันก็ไม่กลัว ...เพราะอะไร ...เพราะมันรู้สึก...เออ อะไรก็แก้ในปัจจุบัน ขอให้เกิดเถอะ  

เพราะมันประเมินกำลังของตัวมันเองว่า...กูสู้ได้ ตั้งมั่นได้ อะไรก็ได้...ต่อให้ความตายมาอยู่ต่อหน้ากูก็รู้ได้ ตั้งได้ กูไม่กลัว 

นี่ ต้องฝึกกันอยู่กับปัจจุบัน เอาปัจจุบันนั่นแหละเป็นหลัก คือเอากายปัจจุบัน ...เพราะนั้นคำว่าปัจจุบันเป็นหลักนี่ บางทีมันก็ไม่รู้ว่าอะไรเป็นปัจจุบันวะ ...ก็กายนี่แหละชัดที่สุด

แล้วคือปัจจุบันและกายไหน ...ไม่ใช่กายข้างหน้า ไม่ใช่กายข้างหลัง ไม่ใช่กายคนอื่น ...กายนี้ คือกายความรู้สึกนี้ กายที่เป็นก้อนความรู้สึกนี่ เป็นปัจจุบันที่ชัดเจนที่สุดแล้ว

พออยู่ในหลักของกายปัจจุบันแล้วนี่ ศีลสมาธิปัญญาอยู่กับมือแล้ว ...ไม่ต้องไปนึกแล้ว ไม่ต้องไปเติมแล้ว ไม่ต้องไปสมาทานศีลใหม่แล้ว ไม่ต้องไปเข้าวัดไม่ต้องปฏิบัติด้วยเออ

มันอยากปฏิบัติก็ไม่ปฏิบัติ กูรู้ตัวอย่างเดียว แน่ะ อยู่ตรงนี้ดิจบ...จบ ให้มันจบอยู่ตรงนี้ ต้องให้มันจบอยู่เดี๋ยวนี้ อย่าให้มันไปจบข้างหน้า อย่าให้มันรอไปจบข้างหน้า

อย่าให้มันว่า...ให้ทำอย่างนี้ก่อนค่อยจบ ให้ไม่ทำอย่างนี้ก่อนค่อยจบ ให้จบตรงนี้ จบตรงที่รู้ว่านั่ง ...ให้มันจบอยู่ในที่เดียว ให้จิตมันจบอยู่ตรงนี้...จบอยู่ที่รู้

อึดอัดหน่อย แรกๆ อึดอัดหน่อย ...ทวนๆๆๆ อย่าบ้าเห่อ เหิมเกริม อย่าให้มันทะเยอทะยานไปตามอาการที่มันเสกสรรปั้นแต่งอะไรขึ้นมา

เดี๋ยวมันก็จะปรุงส้มตำจานรสชาตินี้นั้นขึ้นมา เอ้า อันนี้ไม่ได้ใส่ปูปลาร้า อ้อ อันนี้ใส่ปูเติมปลาร้าด้วย นั่น มันก็จะเสนอแนะแล้วสัญญามาว่ารสชาติอย่างนี้ๆ ถ้าอย่างนี้จะได้อย่างนี้ 

มันเริ่มแล้ว เสนอมาแล้ว ...เอาแหละ ถ้าตั้งมั่นไม่พอเดี๋ยวก็ไปแล้ว เสียเงิน กินเข้าไปก็เสาะท้อง เพราะอย่างนี้ร่างกายไม่แข็งแรง ...เราก็คอยหวั่นไหวไปกับเวทนาต่างๆ นานา เกิดความยินดียินร้าย

แล้วมันก็จะเกิดความไม่รู้จักอิ่ม ไม่รู้จักเต็ม ...พอมันเกิดยินดี เกิดยินร้าย มันก็จะยิ่งหามากขึ้น ก็จะมาแก้ยินดีแก้ยินร้ายเพื่อให้ได้รสชาติใหม่มากลบเกลื่อนรสชาติเก่า

มันก็ยิ่งไม่รู้จักอิ่ม ไม่รู้จักว่าอะไรมาแก้ ...มันงง มันหยุดไม่เป็นแล้ว ...พอถึงจุดนั้นเขาเรียกว่าฟุ้งซ่านเต็มลำดับแล้ว

สลัดทิ้งทันที พอรู้ตัวปุ๊บ สลัดทิ้งเลย ไม่อาลัยอาวรณ์ รู้ตัวทันที กลับมายืนหยัดตั้งมั่นให้ได้...ว่ากูกำลังยืนฟุ้งซ่านอยู่โว้ย กูกำลังยืนฟุ้งซ่าน ก็รู้ว่ายืนฟุ้งซ่าน นั่งฟุ้งซ่าน หรือนอนฟุ้งซ่าน

ก็ให้รู้อาการตรงกายเป็นฐานเลย ...สลัดทิ้ง อย่าไปฟุ้งซ่านกับมัน อย่าไปหารสชาติอะไรมากลบเกลื่อน อย่าไปหารสชาติใหม่มาแก้ หรือวิธีการใหม่ให้เกิดรสชาติอันนั้นอันนี้...ไม่เอา 

เดี๋ยวจะติดกับดัก ติดหล่มสังขารจิต ติดหล่มอดีต ติดหล่มอนาคต ติดหล่มบัญญัติ ติดหล่มความเห็น ติดหล่มความเห็นคนอื่น ...ก็ตายอยู่กับความเห็นคนอื่น แล้วคนอื่นก็พาไปตาย เขาไปตายไหนก็ไม่รู้

แต่ตัวเราก็ไปติดหล่มความเห็นเขา ...เขาพูดเขาจบไปแล้ว ดับไปแล้ว ไปไหนแล้วก็ไม่รู้ หรือตัวคนพูดตายไปแล้วก็ไม่รู้ แต่เรายังติดหล่มความเห็นเขาอยู่นั่น ...นี่ มันไปไหนไม่รอด กับดัก

เพราะนัั้น ด้วยศีลสมาธิปัญญาจึงเป็นตัวกลั่นกรองจิต ให้มันเหลือแต่จิตหนึ่ง ซึ่งเป็นจิตที่ควร จิตที่มีค่า จิตที่สมควรแก่งาน ...ด้วยจิตหนึ่งน่ะจึงเป็นจิตที่ควรแก่งาน ถ้าไม่หนึ่งแล้วไม่ควรแก่งาน

และตัวที่จะกลั่นกรองจิตหนึ่งได้ ก็คือศีลกับสติเท่านั้น ไม่มีตัวอื่นเลย ไม่มีอุบายอื่นเลย ...นอกนั้นมันเป็นกุศโลบาย เดี๋ยวก็กุศโลบายนั้น กุศโลบายนี้

แต่ว่าศีลกับสตินี่มันเป็นหลัก ที่กลั่นกรองให้เกิดภาวะจิตหนึ่งหรือจิตผู้รู้ เกิดความเป็นสภาพจิตผู้รู้จิตผู้เห็น ...รู้จริงเห็นจริง

จะไปเอาวิธีการอื่น จะเอาสถานที่อื่น จะเอาเวลานั้นเวลานี้ มาเป็นตัวกลั่นกรอง ไม่เกี่ยวเลย จะไม่เกี่ยวเลย ...เกี่ยวที่ว่ามีสติในปัจจุบันนี้

เพราะนั้นปัจจุบันนี้คือกาย แค่นั้นแหละ แล้วทุกอย่างก็จะเริ่มสงเคราะห์ลงในองค์มรรค แล้วก็จะเข้าใจว่า อ๋อ กายใจนี่แหละคือมรรค ...มรรคไม่ได้อยู่ที่อื่น

เมื่อใดที่ไม่มีกาย เมื่อใดที่ไม่มีรู้กาย เมื่อนั้นออกนอกมรรค ...นี่ จิตมันก็จะเชื่อ เกิดความเชื่อนี้ขึ้นมามากขึ้นๆๆ 

แล้วมันก็จะปล่อยปละละเลยกายใจน้อยลง ไม่ประมาทเผลอเพลิน หรือไม่ไปใส่ใจหรือไปมุ่งมั่นเอางานภายนอกเป็นหลัก ...แต่มันจะเอากายใจนี้เป็นหลักแทน 

แล้วทุกอย่างก็จะเปลี่ยนไป ความเห็นก็จะค่อยๆ เปลี่ยนไป ...ความทุกข์ก็จะเปลี่ยนไป ในแง่ลดลง ความเชื่อมั่นในองค์มรรค ความเชื่อมั่นในไตรสิกขา ความเชื่อมั่นในพุทธะ ธรรมะ สังฆะ ก็จะเกิดขึ้นมากขึ้น

เพราะทั้งหมดนี่คือที่เดียวกันหมด...กายใจนี่แหละ ...พระพุทธเจ้าก็อยู่ที่นี่ พระพุทธเจ้าคือพุทธะ พุทธะคือผู้รู้ พุทธะคือผู้ตื่น ธรรมะคือสิ่งที่ปรากฏขึ้นในปัจจุบัน ก็คือกาย

พุทธะก็มี ธรรมะก็มี ...แล้วผู้ที่ทำความรู้อยู่เห็นอยู่ในธรรมะกับพุทธะคู่กันนี้ จึงเรียกว่าเป็นผู้ที่กระทำเพื่อความเป็นสังฆะ ..พระสงฆ์ก็อยู่ที่นี้ ก็อยู่ที่ตัวคนนั้นแหละ กำลังทำความเป็นสงฆ์อยู่

เห็นมั้ย พุทธะ ธรรมะ สังฆะ ก็อยู่ในที่เดียวกันนี่...ที่ปัจจุบัน ไม่ได้อยู่ที่อื่น ..ไม่ได้อยู่บนโต๊ะหมู่บูชา ไม่ได้อยู่เมื่อสองพันห้าร้อยปีก่อน ไม่ได้อยู่ที่พระครูบาอาจารย์

อยู่ที่นี้...เรียกว่าเป็นผู้เข้าถึงไตรสรณคมน์ ...ไม่ได้เข้าถึงแค่ปาก แค่ความเห็น หรือแค่ความเชื่อ ...แต่มันเข้าถึงด้วยการปฏิบัติที่ตรงต่อองค์มรรค

แล้วก็จะตรงไปเรื่อยๆ ...ความเป็นพุทธะก็ชัดขึ้น ความเป็นธรรมะก็ชัดขึ้น ความเป็นสังฆะก็ชัดขึ้น 

คือกิเลสน้อยลง ความอยากน้อยลง ความทะเยอทะยานน้อยลง ความเป็นเรา ความยึดมั่นถือมั่นในเราของเราก็น้อยลง 

นั่น ความเป็นสังฆะก็เข้มข้นขึ้น เข้มจนถึงระดับที่ว่าอริยสังฆะเกิดขึ้นไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ

ก็เพราะอะไร ...ก็เพราะเข้าถึงไตรสรณคมน์อยู่เสมอ ด้วยมรรค ด้วยศีล ด้วยสมาธิ ด้วยปัญญา...ที่เป็นสัมมา


……………………….




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น