วันเสาร์ที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2560

แทร็ก 9/31 (1)


พระอาจารย์
9/31 (560103B)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง
3 มกราคม 2556
(ช่วง 1)


(หมายเหตุ  :  แทร็กนี้แบ่งการโพสต์เป็น  2  ช่วงบทความ)

พระอาจารย์ –  เราไม่สนับสนุนให้ดูจิตก่อนเลย แต่เราจะสนับสนุนให้รวมอยู่ที่กาย เพื่อให้ก่อให้เกิดดวงจิตผู้รู้ขึ้นมา ...ถ้ามีศีลถ้ามีสมาธิ ถ้ามีศีลถ้ามีสติในปัจจุบันกายนี่ จิตจะรวมเป็นหนึ่ง รวมเป็นดวงจิตผู้รู้ 

แล้วตรงนี้ ดวงจิตผู้รู้นี่จะชัดขึ้น มันจะชัดขึ้นมาเอง ไม่ต้องไปหาเลย ไม่ต้องหาว่าไอ้นี่เป็นดวงจิตผู้รู้มั้ย ไอ้นี่รู้อย่างนี้ถูกมั้ย ไอ้รู้อย่างนี้แล้วจะจับมันอยู่อย่างนี้ใช่มั้ย ...ไม่ใช่

มันจะเกิดขึ้น รวมขึ้น ค่อยๆ ก่อเกิด ก่อตัว รวมตัวอยู่ภายใน ...แล้วก็หายไปถ้าสติในกายจาง ดวงจิตผู้รู้ก็จะจางหายไปเช่นเดียวกัน เพราะว่าโมหะจะเข้ามาคลุมมิดเลย มิดจนแทนที่ด้วยความไม่รู้ 

จนมันแทนที่ด้วยความไม่รู้นั่นแหละ ดวงจิตผู้รู้ก็จะหายไป ดูเหมือนหายไป ...แต่จริงๆ มันไม่หายหรอก มันมีอยู่แล้ว เข้าใจมั้ย  แต่ว่ามันถูกห่อหุ้มไว้ 

เหมือนเอากระดาษ...ไม่ใช่กระดาษใสด้วย กระดาษทึบ กระดาษขุ่นน่ะ มาปิดดวงจิตผู้รู้ไว้...คือใจ ... มันก็ไม่เห็นใจแล้ว ไม่เห็นดวงจิตผู้รู้แล้ว มันก็หายไปแล้ว

มันก็เหลือแต่ความมืดบอด ...คือความไม่รู้นั่นแหละคือความมืดบอด ท่านเรียกว่าความมืดบอด ...เพราะนั้นเวลารู้ๆๆ รู้ว่านั่งอย่างนี้ มันมีความสว่างรู้อยู่แว้บๆๆ  

นั่นล่ะมันเป็นความสว่างของผู้รู้ แต่มันไม่ชัดไง ถ้ารู้เป็นขณะๆ ...แต่ว่าถ้าจดจ่อไว้ รู้มันก็จะอยู่คู่กัน แล้วตรงนี้มันจึงจะเกิดสัมปชัญญะขึ้นมา 

ตัวสติและสัมปชัญญะที่เกิดขึ้นจากสัมมาสมาธินี่ มันจะเข้ามารักษาใจ รักษาดวงจิตผู้รู้นี่ให้มั่นคงอยู่ภายใน ให้เกิดความมั่นคง ตั้งมั่นอยู่ภายใน

แล้วก็รักษากาย รักษาสติต่อเนื่องไป ผู้รู้ก็จะชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ แล้วยิ่งชัดเจนเท่าไหร่ อาการเห็นโดยรอบนี่ยิ่งชัดขึ้นเรื่อยๆ ...คราวนี้พอดวงจิตผู้รู้มันตั้งได้ หรือว่าชัดเจนขึ้นเป็นดวงจิตผู้รู้นี่

นี่ด้วยอำนาจของสติแล้วก็ศีลนะ ไม่ใช่ด้วยอำนาจของการบังคับหรือว่านึกเอาคิดเอา ...แต่มันขึ้นมาจากสติตามลำดับขั้น สติที่ระลึกเท่าทันอิริยาบถกาย เท่าทันปัจจุบันกายนี่ ก็จะเกิดดวงจิตผู้รู้ผู้เห็นขึ้น

เมื่อดวงจิตผู้รู้ผู้เห็นมันปรากฏชัดเจนขึ้น คราวนี้มันไม่ได้เห็นแค่กายแล้ว ...เห็นหมด จิตก็เห็น อารมณ์ก็เห็น กิเลสก็เห็น ผัสสะก็เห็น นี่เขาเรียกว่ารู้รอบเห็นรอบ ...อยากดูจิตเหรอ ไม่ต้องรอดูเลย มีให้เห็นเอง 

แต่มันเห็นแบบเฉยๆ เห็นแบบไม่ไปไม่มา เห็นแบบรู้อยู่...ไม่ใช่รู้ไป ...นี่ เดี๋ยวนี้เขาเอาป้ายคำสอนของหลวงปู่มาเขียนไว้หน้าทางเดินเข้าไง ...ดวงจิตผู้รู้อยู่ ไม่ใช่รู้ไป

มันจะเกิดอาการรู้อยู่เห็นอยู่ แล้วมันก็เห็นโดยรอบ จิตบ้าง กายบ้าง อะไรบ้าง วูบวาบๆ ไปมา ...ยิ่งเห็นชัดในความไม่ใช่สัตว์ไม่ใช่บุคคล ยิ่งเห็นชัดในการแค่เป็นอาการหนึ่ง ปรากฏการณ์หนึ่ง 

ตอนนี้ สติถึงขั้นนี้ มันจะเข้ารวมสติปัฏฐานสี่นี่ มาเป็นสติหนึ่งแล้ว เรียกว่ามหา...เข้ามาเป็นมหาสติ

เพราะนั้นคำว่ามหาสติหมายความว่ามันรวมฐานทั้งสี่เป็นอันเดียวกัน มันไม่มีตัวเข้าไปแบ่งแล้ว ว่านี่กาย นี่เวทนา นี่จิต นี่ธรรม ด้วยความเป็นสมมุติใดสมมุติหนึ่ง 

นี่เขาเรียกว่าสติมันก็รวมเป็นหนึ่ง ศีลก็รวมเป็นหนึ่ง สมาธิก็รวมเป็นหนึ่ง ปัญญาก็รวมเป็นหนึ่ง เห็นโดยรอบ เป็นธรรมหนึ่งๆ แต่ในลักษณะธรรมหนึ่งนี่ ยังไงๆ นี่ มันยืนอยู่ในหลักกายหมดแหละ 

เพราะมันจะต้องแจ้งเรื่องนี้ก่อนเป็นอันดับแรก ยืนพื้นเลย...กายนี่ ...เวทนาจิตธรรมน่ะ เดี๋ยวมีเดี๋ยวไม่มีๆ มันเหมือนดาวหาง สะเก็ดดาว ...แต่กายนี่เหมือนโลกเลยนะ 

ส่วนดาวหาง สะเก็ดดาวนี่ ผลอุกาบาตบ้าบออะไรนี่ พวกนี้จึงไม่ใช่หลัก ...หลักอยู่ที่กาย แม้จะเป็นมหาแล้วก็ตาม แต่ว่าตัวนี้ยืนพื้น กายนี่ยืนพื้น

เพราะนั้นเมื่อมันเป็นธรรมเบื้องหน้า ธรรมเฉพาะหน้า ซึ่งใน 80-90 เปอร์เซ็นต์ มันอยู่น่ะ มันก็แจ้งตัวนี้ก่อนแน่ๆ  ยังไงก็แจ้งตัวนี้ก่อนแน่ๆ ...แจ้งกายก่อน 

เพราะไอ้สะเก็ดดาว ดาวตก นานๆ มาที หรือว่าอาจจะมาเป็นระลอกๆ ก็ตามเหอะ เดี๋ยวมันก็หายไป อารมณ์ด้วย อะไรด้วย  ...นี่ ส่วนที่เป็นนาม ถึงบอกว่านามนี่ไว้ทีหลังเลย จิตเขาคัดสรรเองน่ะ 

มหาสติก็จะมาทำความรู้ชัดเห็นชัด กายนี่ชัดที่สุด ...แต่ไม่ได้หมายถึงกายนี้นะ ตรงที่เป็นมหานี่จะไม่หมายว่าเป็นกาย ไม่มีสมมุติกาย ไม่มีชื่อ ไม่ค่อยมีชื่อ 

ไม่ค่อยเอาไปอ้างอิงว่าอาการนั้นอาการนี้ หรือว่าเข้าไปคิดค้น หรือว่าหาเหตุและผลแต่ประการใดแล้ว มันก็แค่สักแต่เห็น สักแต่รู้อย่างเดียวนั่นเอง...อะไรวะ ดูมันไปเฉยๆ 

ไม่ไปตั้งแง่ตั้งงอนกับมัน หรือจะไปวิเคราะห์วิจารณ์อะไรมัน มันก็ยิ่งเห็นความเป็นสิ่งหนึ่ง ก้อนหนึ่ง กองหนึ่ง ก็เห็นแค่นี้ สิ่งหนึ่ง ก้อนหนึ่ง กองหนึ่ง

ถ้าสมมุติจิตมันจะถามว่าก้อนอะไร มันก็จะมีคำตอบอยู่ข้างในว่า ก้อนทุกข์  มันก้อนอะไรก็ไม่รู้ ไม่รู้จะเรียกอะไรดี ก็เรียกก้อนทุกข์แล้วกัน ตรงที่สุดเลย 

นี่หมายความว่ายังไง ...มันดูไปดูมา มันไม่เห็นความหมายอะไรที่จะตรงมากกว่าคำว่าก้อนทุกข์ เพราะเป็นก้อนอะไรก็ไม่รู้ที่ตั้งอยู่ ก็เรียกว่าก้อนทุกข์ซะเลย 

ถึงมันตอบให้เองน่ะ ก็ว่าถ้าไม่เป็นก้อนทุกข์แล้วเป็นก้อนอะไร ก็ในความเป็นก้อนกองหนึ่งน่ะ มันก็มีความแปรปรวนไปมา ก็เรียกว่าก้อนที่แปรปรวนไปมา

นี่ มันก็ชัดที่สุด ตามประสาที่จิตมันเห็นตลอดเวลาในความเป็นจริงของมัน ว่าเป็นก้อนที่แปรปรวนอยู่ตลอด ก็เรียกว่าอย่างนั้น ...คือมันจะไม่ออกไปว่าเป็นก้อนเรา หรือว่าก้อนชายก้อนหญิงแล้ว 

เพราะดูไม่ชัดแล้วว่ามันเป็นก้อนชายก้อนหญิง มันดูไม่ชัด จิตก็จะตอบได้ไม่ชัด เพราะมันชัดแต่ว่าแปรไปปรวนมา เปลี่ยนไปแปลงมา 

แล้วก็เป็นกองที่มีเวทนาอยู่ตลอดเวลา มันก็เป็นก้อนทุกข์ ก้อนแปรปรวนไปมา แล้วก็ไม่มีชีวิตจิตใจ

ถ้าจิตมันยังสงสัยว่าเป็นก้อนอะไรไม่มีชีวิตจิตใจ มันก็จะได้คำตอบ เหมือนกับเป็นภาษาลึกๆ ภายในของมันเองว่า ก้อนธาตุ ...ก็คือมันเห็นว่าตรงที่สุดแล้ว ไม่รู้จะนิยามยังไงดี 

ไอ้นิยามว่าเป็นหญิงเป็นชายมันก็จะเริ่มเลือนๆๆ หายไป ...ที่เชื่อ ที่มันเคยเชื่อ หรือไอ้นิยามที่มันเคยนิยามหรือเคยสมมุติบัญญัติไว้ว่านี่เป็นกองเรา ก้อนเรา มันก็เลือนๆ เลือนๆ ไป 

เพราะมันเห็นแต่ว่า ไม่เป็นก้อนทุกข์ก็เป็นก้อนแปรปรวน ไม่เป็นก้อนแปรปรวนก็เป็นก้อนธาตุ ไม่เป็นก้อนธาตุ ไม่เป็นก้อนทุกข์ มันก็เห็นว่าเป็นแค่ก้อนธรรม คือการปรากฏขึ้นเฉยๆ

เนี่ย มหา...มันจะเห็นอย่างนี้ ...ไม่ใช่มหาเปรียญนะ มหาสติ มันจะเห็นสภาพธรรมตามจริง ชัดเจนในแง่มุมนี้ มันจะชัดเจนในแง่นี้ ...ไม่ได้ชัดเจนในแง่สวย ดี ถูก ผิด มันไม่ชัดอย่างนั้นเลย

สวย ดี ถูก ผิด มีคุณ มีประโยชน์ ไอ้พวกนี้เป็นแง่ของอุปาทาน เป็นแง่ของจิตปรุงแต่ง เป็นแง่ของอวิชชาความไม่รู้ เป็นแง่ของตัณหา เป็นแง่ของทิฏฐิมานะมันเข้าไปให้ค่า ...มันจะไม่เห็นในแง่นั้นเลย

พอมันเห็นในแง่นี้มากๆ มันจะไม่เชื่อในแง่นั้นเลย แล้วมันก็จะเห็นด้วยว่าไอ้แง่นั้นน่ะ หลอก เหมือนหลอก เหมือนจิตว่าเอาเอง แล้วก็เดี๋ยวกูจัดการมึงทีหลัง ...เอาตรงกายนี้ก่อน จิตไว้ทีหลัง 

แต่ว่าตรงนี้เอาก่อน ให้มันเห็น จนไปลบล้างความเชื่อที่จิตมันเคยเชื่อ เหมือนจิตตอนนี้มันยังมีชีวิตอยู่นะ มีสัตว์เลี้ยง แล้วก็มันมีความเป็นอิสระในตัวของมันที่จะสร้างความคิดสร้างความเชื่ออย่างนี้ 

มันว่า "อย่ามาแตะต้องกูนะ" ...ก็ต้องเอาตรงนี้ ให้มันชัดเจนจนตัวมันน่ะเริ่มอึกๆ อักๆ  ไอ้จิตอวิชชาหรือจิตที่มันสร้างตัวเราอยู่ในเรื่องราวในจิต มันก็เริ่มอึกอัก 

พูดไม่ออกแล้ว มันเริ่มพูดไม่ออกแล้ว เพราะมันจะเริ่มเถียงไม่ได้ ...เพราะมันถูกปัญญานี่ถ่างตาไว้อยู่ตลอด...ให้มันเห็นแต่ของจริง ความจริง

มันจะเอาอะไรมาเถียงล่ะ มันจะเอาชายเอาหญิงมาใส่เท่าไหร่ๆ มันก็เห็นจริงๆ เท่านี้ ...เถียงไม่ออกแล้ว มันก็เริ่มเหมือนน้ำท่วมปาก ...นี่เขาเรียกว่ามันคลายออกแล้ว ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ ไอ้จิตผู้ไม่รู้หรืออวิชชาน่ะ

เห็นมั้ยว่า อวิชชามันจะถูกลบล้างได้ด้วยวิชชา วิชชาที่ไม่ใช่วิชชาจากการเขียน การอ่าน การฟัง การคิดวิเคราะห์ ...แต่มันเป็นวิชชาที่มาจากศีลสมาธิปัญญา 

วิชชาที่เกิดจากสติระลึกรู้เท่าทันปัจจุบันกาย จนจิตตั้งมั่นเป็นสัมมาสมาธิ ...แล้วสัมมาสมาธิเข้าไปเห็นซ้ำในธรรมที่อยู่เบื้องหน้ามันตรงๆ โดยปราศจากความคิดและจำ

นี่เรียกว่าวิชชาเกิด...วิชชานี่คือปัญญาญาณ ...ไอ้ตัววิชชานี่แหละจึงจะไปชนะอวิชชาที่อยู่ในจิต ที่มันสร้างความเชื่อความเข้าใจ ความยึดมั่นจริงจัง

ว่านี่...เป็นชาย เป็นหญิง เป็นเด็ก เป็นคนแก่ เป็นหนุ่ม เป็นพยาบาล เป็นหมอ เป็นพระ เป็นโยม เป็นคนธรรมดา เป็นคนไทย ...ไอ้นั่นมันความเชื่อ ทุกวันนี้พวกเราเชื่อกันอย่างนี้ 

เชื่อตามจิตว่า แล้วก็เชื่อตามคนอื่นเขาว่าด้วยประกอบกัน ...ก็เลยว่าจริง จริงแล้ว ไม่ค้นหาความจริงอะไรนอกจากนี้แล้วเพราะมันเชื่อซะแล้วว่าต้องเป็นจริง

ถ้าบอกว่านั่ง ก็บอกว่ามันมีทั้งเรานั่ง และไอ้ตัวเราคนที่นั่งนี่ก็เป็นผู้หญิงด้วย และไอ้ตัวเราที่นั่งนี่เราก็เชื่อด้วยว่าเป็นพยาบาลด้วย และเราก็เชื่อด้วยว่าตัวเราคนที่เป็นพยาบาลเป็นผู้หญิงนี่เป็นคนไทยด้วย 

เห็นมั้ย มันเชื่อหมดเลยว่าไอ้พวกนี้จริง ไม่รู้กี่จริงของมันแล้ว เนี่ย คือมันครอบ ครอบสิ่งที่จริงกว่านั้น ...แล้วมันหยั่งไม่ถึงความจริง มันก็ติดอยู่แค่ไอ้ความเชื่อที่ว่าจริงๆๆๆ

ถึงบอกว่า ถ้าไปให้ค่าให้ความสำคัญผูกยึดอยู่กับมัน ก็จะไม่เห็นความเป็นจริง...ที่มันไม่นึกอยากจะดูเลย ...เพราะมันเชื่อไปซะแล้ว 

นี่เรียกว่าอวิชชามันปิดบัง ทิฏฐิมานะปิดบัง สมมุติบัญญัติปิดบัง การให้ค่าปิดบัง ...ปิดบังอะไร ปิดบังความเป็นจริงในปัจจุบัน...ในที่นี้คือกาย

เพราะนั้นว่า ต้องซ้ำ ย้ำ เหมือนแหวกๆ ออก ...เพราะนั้นสติสมาธิน่ะเหมือนแหวกสิ่งที่มันปกคลุมไว้แล้วเข้าไปหยั่งถึงเนื้อแท้ธรรมแท้ ของจริง 

แต่พอหยั่งแล้วนี่ มันก็ปิด...ถ้าไม่รักษา ถ้าไม่จดจ่อกับความจริงของจริง ...เหมือนเราโยนหินลงไปในบ่อที่มีแหนน่ะ มันก็แหวกออกปึ้บ ใช่มั้ย พอหินจมปุ๊บมันก็ปิดคลุมอีก 

นี่คือสติแบบขณิกะ ไม่ว่าจะเป็นกาย ไม่ว่าจะเป็นจิตน่ะ จะเห็นอย่างนี้หมด


(ต่อแทร็ก 9/31  ช่วง 2)




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น