วันพฤหัสบดีที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2560

แทร็ก 9/32 (3)


พระอาจารย์
9/32 (560103C)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
3 มกราคม 2556
(ช่วง 3)


(หมายเหตุ  :  ต่อจากแทร็ก 9/32  ช่วง 2

พระอาจารย์ –  เพราะนั้นว่าการรู้ตัวมันก็ไม่ได้ยากจนเกินไป ว่าจะต้องปลีกตัว จะต้องหาที่ จะต้องอยู่คนเดียว จะต้องหมดภาระหน้าที่การงานซะก่อน 

มันเป็นเงื่อนไข ไอ้นี่เป็นเงื่อนไข...ของจิต ของอวิชชาทั้งนั้นน่ะ ...ที่มันมาอ้าง แอบอ้าง มาแอบอ้างให้เชื่อมัน และให้ไม่เชื่อในองค์มรรคว่าทำได้

และก็อย่าให้มันแอบอ้างมากๆ ...ถ้ามันแอบอ้างมาก มันก็จะปิดบังขึ้นมาในทางของมรรค...คือไม่ทำ รอไปทำวันอื่น รอไปทำที่อื่น รอไปทำตอนที่สมควร 

ก็ไม่รู้สมควรตอนไหนของมัน ...เวลามันบอก “รอก่อน ไว้ให้สมควรทำก่อน” แล้วมันตอบได้มั้ยว่าสมควรตอนไหน ...มันยังหาคำตอบไม่ได้เลย 

พอถึงเวลาที่ว่าน่าจะสมควร มันก็ว่ายังไม่สมควรอีกแล้ว ...มันก็จะมีข้อแม้เล็กๆ น้อยๆ มาให้ว่า “ยังไม่ใช่ ยังไม่ใช่เวลาทำ”

เพราะนั้นต้องสลัดปัดทิ้งซะ ก็รู้ไปตรงนั้นน่ะ มันจะยากหนักหนาอะไร ...ก็รู้ตรงนั้น ยืนเดินนั่งนอน มันมีกายตรงนั้น ความปกติกายมันก็มี ...เอาให้มันทันใจ ทันหู ทันตา 

ศีลสมาธิปัญญามาแบบฉับพลันทันด่วน ประเภทดิลิเวอรี่ เรียกมาถึงปึ๊บส่งถึงที่น่ะ เข้าใจรึเปล่า ...ไม่ต้องรอแล้ว ปึ๊บนี่ก็ระลึกขึ้นมา กายอยู่ตรงนี้ ปกติกายก็ปรากฏให้เห็นโด่เด่อยู่ตรงปัจจุบันนั้นเลย

เอาให้มันทันการ...แม้จะได้ขณะนึง นิดนึง ถือว่ากำลังเพียรทำงานอันชอบอยู่ เขาเรียกว่าเพียรชอบ ...ก็คือเพียรให้จิตมาทำงานที่ชอบ 

ซึ่งไอ้ที่ชอบนี่ไม่ใช่ที่มันพอใจนะ ที่ชอบคือที่สมควรจะทำ และต้องทำ ...เรียกว่า “เพียรชอบ” เพียรให้จิตมาทำงานที่เป็นงานการอันชอบ 

ไม่ใช่งานของกิเลส ไม่ใช่งานของความหลง ไม่ใช่งานที่ไปพอกพูนความไม่รู้ ไม่ใช่งานที่ไปพอกพูนภพและชาติ ไม่ใช่งานพอกพูนอดีตอนาคต เรื่องราว

ไอ้งานนี้มันงานไม่ชอบ เป็นมิจฉาอาชีโว ...จิตมันชอบสร้างมิจฉาอาชีโว ชอบทำมิจฉาอาชีโว หางาน หาเรื่อง นั่น ประเภทเข้าไปจัดอีเว้นท์น่ะ 

มันชอบอีเวนท์ สร้างอีเวนท์ แล้วก็เดี๋ยวกูจะเปิดกาล่าดินเนอร์แล้ว ชวนกันใหญ่ เปิดใหญ่ทีก็ ปึ้ง เฮกัน ...จิตก็ทุกข์สาหัสกันขึ้นมาสักคราวนึง

แต่ก่อนที่มันจะเกิดกาล่าดินเนอร์ มันก็อีเวนท์เล็ก อีเวนท์ย่อยน่ะแหละ ...ไป ร่อนเร่ไปหาเรื่องหาราวคนนั้นคนนี้ อยู่ดีไม่ว่าดี นั่งมองคนนั้นทีคนนี้ที จิตก็ไปแปะอยู่ตรงนั้นตรงนี้ 

นี่ สร้างอีเวนท์อยู่ รับจ๊อบ ...เดี๋ยวมันก็ชุมนุม เป็นสามัคคีชุมนุม กาล่าดินเนอร์มาแล้ว ปวดหัว ...แล้วก็มาบ่น "ทำไมทุกข์จัง" 

พอมีทุกข์ก็บ่นๆๆ  ติคนนั้นติคนนี้ ซ้ำซาก ...ทำไมไม่เห็นว่ามันซ้ำซากยังไง มีแต่เรื่องมา คราวนี้ล่ะหัวไม่วางหางไม่เว้นล่ะ ...มันพอกหางหมูน่ะ 

ดิ้นไม่ออกเลย จมปลักเหมือนกับถูกตอกลงใต้ผืนดินเลย มุดหัวไม่ขึ้น คาราคาซัง ดิ้นไม่หลุด เนี่ย เสวยวิบาก เพราะไปสร้างจ๊อบรับอีเวนท์อยู่นั่นน่ะ

ไอ้งานชอบน่ะไม่ทำ งานอันควรทำน่ะ...ไม่ทำ งานที่จะออกจากทุกข์...ไม่ทำ งานที่จะอยู่เหนือทุกข์...ไม่ทำ ...ชื่อท่านก็บอกนะว่า “ความเพียรชอบ” 

สัมมาทิฏฐิ...ความรู้ชอบความเห็นชอบ  การงานชอบ สติชอบ สมาธิชอบ เลี้ยงชีพชอบ พากเพียรชอบ ดำริชอบ ปัญญาชอบ นี่...ไม่ทำ ...มันไปทำไอ้ที่ “กูชอบ”

อันนั้นน่ะชอบทำ อันไหนที่ “เรา” ชอบน่ะชอบทำ ...แต่ว่ามรรคอันชอบนี่ไม่ค่อยชอบทำ เพราะมันขัดใจ “เรา” 

มันต้องขัดใจเราอยู่แล้ว เพราะมันคนละเรื่องกัน ...ชอบกับไม่ชอบ รู้กับไม่รู้ มันคนละงานกัน มันคนละฝั่งกัน

เพราะนั้นเมื่อทำงานที่ไม่มี “เรา” หรือทำงานที่เป็นการออกจาก “เรา” นี่...“เรา” จะไม่ชอบ “เรา” จะเบื่อ “เรา” จะบ่น ...เพราะว่า “เรา” คือนอมินีของจิต จิตคือนอมินีของอวิชชา 

มันก็เป็นพวกเดียวกันหมดน่ะ เปลี่ยนหน้ากันแค่นั้นเอง ...คือมันประเภทเป็นยอดมนุษย์น่ะ แปลงร่างได้  ธรรมดาก็ดูเหมือนเป็นคน แต่พอแปลงร่างปั๊บ เป็นอุลตร้าแมนอะไรอย่างนี้ 

“เรา” ก็คือตัวเดียวกันหมด มาจากที่เดียวกัน โคตรเหง้าเดียวกัน คือ “ไม่รู้” ...อวิชชาปัจจยาการหมด

เพราะนั้นเวลาเจริญมรรคนี่ มันเป็นยาขมสำหรับอวิชชาเลย...เบื้องต้นน่ะนะ ...แต่ขมเมื่อแรกกิน เมื่อกลืนไป ผ่านปลายลิ้นแล้วพอลงคอไปเรื่อยๆ เนี่ย มันจะหอมหวาน 

ท่านถึงบอกว่าศีลสมาธิปัญญานี่หอมทวนลม ไม่ตามลม ไม่ขึ้นกับลม ทวนได้หมด ทวนได้ หอมไกลจนถึงพรหมโลกก็ยังได้ ไม่มีลมยังหอมถึงพรหมโลกเลย ศีลสมาธิและปัญญานี่

ไม่ต้องป่าวประโคมโหมแต่ง ลงเว็บ หรือว่าไปลงโฆษณา ขึ้นป้ายขึ้นโปรโมชั่นอะไร ...ความหอมนี่ คนหูตาไม่ดี จมูกไม่ดี มันก็ยังมารู้จักหา 

เทวดาอินทร์พรหมอยู่ในส่วนไหนของโลก ก็ยังมาได้ เพราะมันหอมไปจนถึงอาสน์ ต้องมาดูซะหน่อย มันทำอะไรของมัน ...อะไรอย่างนั้น

แต่ไอ้พวกเรานี่เหม็น มนุษย์...อยู่กับเหม็น อยู่กับปฏิกูล จิตก็ยังมีปฏิกูลอีก กายก็เป็นปฏิกูลซ้ำอยู่แล้ว จิตก็ยังมีแต่ปฏิกูลหมักหมม ด้วยอะไรก็ไม่รู้สะสมกันเข้า 

อดีตอนาคตไม่จริง ก็จะให้มันจริงให้ได้ จะเป็นจะตายกับมัน ...ไอ้ตัวจริงน่ะไม่ค่อยอนาทรร้อนใจ ไปร้อนใจอนาทรอยู่แต่ไอ้ตัวเราข้างหน้า ...บ้ารึเปล่า ไอ้ตัวที่ไม่จริงกลับไปอนาทรร้อนใจ 

ไอ้ตัวจริงน่ะยืนเดินนั่งนอน  ยืนเมื่อย นั่งเมื่อย ไม่อนาทร ไม่ดู ไม่สังเกต ...กลับไปเดือดเนื้อร้อนใจอยู่กับตัวที่ไม่มี อยู่ข้างหน้าข้างหลังนั่นน่ะ

นั่นน่ะเขาเรียกว่ามันหมักหมม ปฏิกูล ...ทำไมว่าปฏิกูล  คือมันเป็นของเสีย ของเน่า ของบูด ของที่มันไม่มีชีวิต ของที่มันยังไม่มีประโยชน์สาระ เขาเรียกว่าปฏิกูลแล้ว 

จิตก็เต็มไปด้วยปฏิกูลพอกพูนอยู่นั่นแหละ หมักหมมอยู่นั่น ไม่ยอมออกมาเห็นเดือนเห็นตะวัน

มีแต่มรรคผล ศีลสมาธิปัญญาเท่านั้นน่ะ จึงจะแหวกวงล้อมพวกนี้ แล้วก็ฉุดลากกระชากใจขึ้นมา ถอนออกมาจากสิ่งหมักหมมนั้นๆ เป็นเพชรในตม เหมือนเพชรในตม

เพราะนั้นตัวที่จะถอนใจออกมา ก็คือสตินั่นน่ะเป็นอันดับแรก ...แล้วก็ให้มันมาตั้งรู้ตั้งเห็นอยู่กับกาย นั่นแหละ ใจมันก็จะเริ่มฉายแววฉายแสงขึ้นมาเป็นผู้รู้ผู้เห็นชัดเจน 

ครรลองของมรรคก็มีอยู่  เบื้องต้นของมรรคก็มีตรงนี้ แล้วต่อไปก็ท่ามกลาง ที่สุด ก็ว่ากันไป

แต่ว่าเบื้องต้นนี่ยังเป็นแบบ...กี่ครั้งๆ ก็เบื้องต้น...กี่ครั้งๆ ก็เบื้องต้น ไหนท่ามกลาง ที่สุด ...นั่น ก็ถามดูว่าไหนเบื้องต้นของมึงล่ะ นี่ ก็ต้องถามก่อนใช่ป่าว ต้องเบื้องต้นให้รอดก่อน ให้ได้ก่อน ให้เต็มก่อน ฐานให้แน่น

ก็บอกว่า คือหนูจะสร้างบ้าน หนูอยากอยู่บ้านสวยๆ ค่ะ แต่หนูไม่สร้างเสาและคาน หนูก็คงอยู่ได้หรอกนะ บ้านลอยๆ น่ะ ...มันไม่ได้ คานและเสาอยู่ไหนล่ะ

เพราะนั้นก็เบื้องต้นนั่นแหละ ขั้นรากฐานคานคอดินนี่อยู่ไหน ทำไมไปชะเง้อมองแต่ว่าชั้นที่ยี่สิบหรือว่านู่นชั้นดาดฟ้า ...คานเข็มยังไม่มีเลย จะไปได้ยังไง ...ฝันหวานมั้ง 

เพราะนั้นไอ้งานผืนดิน งานฐานรากนี่ ...เห็นมั้ย เห็นกุลีมั้ย นั่นน่ะพวกจับกัง ขุดดิน แบกปูน เทปูนฐานราก  ไม่ใช่เด็คคอเรเตอร์ ไม่ใช่พวกสถาปัตย์ภายในนะ ...มันคนละงานกันเลยน่ะ

เพราะนั้นงานของพวกเรานี่แหละคือกุลี ...แต่ถ้าไม่มีกุลี ถ้าไม่มีคานคอดินแล้ว งานตกแต่งภายใน หรือว่าทาสีสันแต่งเติมมันก็ไม่สวยงามประณีต ...นั่นแหละ งานฐานรากไม่ใช่ตกแต่งให้สวยงาม 

แต่นี่คือความแข็งแรงและมั่นคงต่างหาก...สำคัญ เป็นรากฐาน ถึงบอกว่าเป็นรากฐาน  ...ถ้ารากฐานดีแล้วนี่ แผ่นดินไหวยังไม่ล้มเลย ก็วางรากฐานดีแล้วนี่ ...คืออยู่ได้แบบไม่กลัวตายน่ะ 

เห็นมั้ย มันมั่นคง ไม่กลัวอะไรแล้ว ...แต่ถ้าบ้านพวกเราเหรอ เคยอยู่บ้านที่ติดริมน้ำมั้ย  ในหน้าน้ำนี่ นอนแบบผวา คือเสาอยู่ริมตลิ่ง ไม่มีผนังกั้นน่ะ ...เอ้า มันมั่นคงดีรึยัง ก็นึกภาพดูเอา

แต่ถ้าฝังเข็มลงสักแปดหลักแปดช่วง ก็นอนหลับสบาย ไม่กลัวลมกลัวน้ำ แผ่นดินไหวไม่กระเทือน ...เพราะนั้นรากฐาน ศีลสมาธินี่รากฐานเลยแหละ ถ้าปราศจากศีลและสมาธิ ล้มครืนๆ 

เพราะนั้นตัวที่จะเรียกศีลได้ก็คือสติ แล้วอาศัยจดจ่ออยู่กับศีลต่อเนื่อง นั่นแหละสมาธิก็มา แล้วจากนั้นปัญญา งานตกแต่งภายในมาแล้ว จัดวางให้มันเป็นระเบียบ 

ไอ้ที่รกรุงรังนี่จัดเป็นระเบียบเลย แยกเป็นส่วนๆ อันไหนควรทิ้ง...ทิ้ง อันไหนอยู่...อยู่ไป อันไหนมีประโยชน์เอาไว้ก่อน ...เนี่ย มันเห็น

แต่ถ้ามันคลุมไปหมด เห็นแล้วก็เบือนหน้า ไม่รู้จะทำยังไงกับมันดี แยกไม่ออก อะไรเป็นอะไร อันไหนขยะ อันไหนกินได้ ไม่รู้ มันปนกันอยู่นั่น ขี้เกียจแยกแล้ว นั่น

แต่ถ้างานละเอียดแล้ว มันจะแยกเป็นสัดเป็นส่วน เป็นชิ้นเป็นอัน เป็นกองๆ ไป อันไหนเป็นอุปาทานทุกข์ อันไหนเป็นขันธ์ ปล่อยให้เขาเป็นไปตามเหตุปัจจัย ไม่แตะต้อง ...นั่นแหละปัญญา งานของปัญญาญาณ

เอ้า พอแล้ว ฟังพอให้น้ำลายไหล น้ำลายยืด น้ำลายสอ ...เหมือนกินมะขามเปรี้ยวแต่เข็ดฟัน แต่ทุกครั้งที่ได้ยินเรื่องมะขามเปรี้ยว น้ำลายก็สอ ...แต่กินทีไรตอนนี้ก็เข็ดฟัน 

มันอย่างนี้ การปฏิบัติก็ต้องเป็นอย่างนี้ เอ้า ไป


โยม –  หลวงพ่อเจ้าคะ แต่ครูบาอาจารย์กับผู้ฟัง ผู้ที่จะน้อมนำฟัง ก็ต้องหมายถึงมีความเชื่อมโยงกันอยู่ใช่ไหมเจ้าคะ

พระอาจารย์ –  กรรม...มันมี ...ต้องอาศัยกรรมที่ร่วมกัน ทำร่วมกันพอสมควร


โยม –  เพราะบางครูบาอาจารย์ ฟังแล้วก็ไม่เข้าใจ รู้ว่าเป็นธรรมน่ะเจ้าค่ะ แต่ฟังแล้วไม่เก็ทน่ะ ...แต่ครูบาอาจารย์บางองค์ฟังแล้วเก็ทน่ะ มันมีความ...

พระอาจารย์ –  ลิงก์กัน ...มันมีปัจจัยอยู่ ทุกอย่าง มันมีความเชื่อม เหตุปัจจัยนี่หลากหลายมาก เราไม่สามารถรู้ได้หรอก ...กรรมนี่ ลึกซึ้ง ซับซ้อน 

ถ้าไม่ถูกกันด้วยกรรม ด้วยธาตุ ด้วยขันธ์แล้วนี่ บางทีมันก็ปฏิเสธกัน ไม่ยอมรับกัน ไม่เข้ากัน


โยม –  กราบลาเจ้าค่ะ

พระอาจารย์ –  อือ ดีแล้ว กลับไปอยู่บ้านอยู่ช่อง กายใจเป็นบ้าน อย่าออกนอกบ้าน  


...............................



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น