วันจันทร์ที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2560

แทร็ก 9/32 (1)


พระอาจารย์
9/32 (560103C)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
3 มกราคม 2556
(ช่วง 1)


(หมายเหตุ  :  แทร็กนี้แบ่งการโพสต์เป็น  3  ช่วงบทความ)

พระอาจารย์ –  การปฏิบัติน่ะ จริงๆ มันรู้เองด้วยตัวเองน่ะ ถูก-ผิด ดี-ชั่ว...แต่มันรู้แล้วมันไม่ทำ ...นี่คือสันดานของจิตผู้ไม่รู้ 

แล้วมันก็รู้ด้วยว่าจะต้องทำยังไง แต่มันก็ไม่ทำ ...นี่คือสันดานของจิตผู้ไม่รู้ ที่มันมีอำนาจเหนือกว่า

เราไม่ได้ว่าใครนะ มันเป็นเรื่องของ...ธรรมชาติของจิตผู้ไม่รู้ ...รู้ทั้งรู้นะ ไม่ใช่ไม่รู้  ไม่ต้องมาถามเราหรอก ตัวมันเองก็รู้  ตัวทุกคนน่ะรู้...แต่ไม่เชื่อสักเท่าไหร่ 

อาศัยกำลังของเราเท่านั้นแหละ ที่ไปยืนยัน มันจึงเกิดพลังขึ้น ในการที่จะ... “เอาโว้ย”... มันก็เกิดพลังที่จะสามารถก้าวข้ามความขี้เกียจ ก้าวข้ามความลังเล 

ทั้งที่ตัวมันเองก็รู้อยู่ ...แต่มันยังติดสันดานของอนุสัยที่มันยัง... “ไว้ก่อน” อะไรอย่างนี้ ...ผัดๆ ไป ข้างๆ คูๆ อยู่เรื่อยไป

เนี่ย ครูบาอาจารย์ก็ต้องอย่างนี้ พอมาฟัง พอมาได้ยินแล้ว มันก็เกิดความกระฉับกระเฉง ตื่นตัว ชัดเจน ศรัทธา แล้วก็ขยันขึ้นทันหูทันตา ทันควัน ...แล้วไปๆ ก็แบตหมด เดี๋ยวก็แบตหมด

เราเคยพูด เราเคยบอกว่า ครูบาอาจารย์นี่เหมือนร่มโพธิ์ร่มไทร เข้าใจรึเปล่า คือเป็นร่ม ...เหมือนพวกเรานี่หาร่มไม่เจอ หาที่ร่มที่พักไม่เจอ เหมือนกับเดินอยู่ท่ามกลางทะเลทรายน่ะ แห้งแล้งและอดอยาก 

ทรมาน ทุรนทุราย แล้วก็ไม่รู้จะเดินไปไหน ไปที่ไหน แล้วจะไปที่ไหนต่อ ...เหมือนเดินในทะเลทรายที่มองไม่เห็นเลยว่าจะไปทะลุที่ไหน ...แล้วพอดีว่ามันมีร่มไม้อยู่กลางทะเลทรายนั้น 

มีใครล่ะมันจะไม่เข้ามาพักในร่ม ใช่มั้ย ...แล้วเวลามันเข้ามาพักในร่ม ด้วยการเดินในทะเลทรายมาเป็นหลายสิบปี ...มันก็เกิดความพัก ร่มเย็น สงบ เหงื่อก็หาย คลายร้อน 

แล้วยังมาได้ยินได้ฟังเนื้ออรรถเนื้อความธรรม  มันก็เกิดความว่า...คือถ้าไปได้ยินตอนที่เดินกลางทะเลทรายนี่ กูคงไม่มีกะจิตกะใจจะอ่านจะฟังหรอก กูคงไม่มีกะจิตกะใจที่จะคิดน้อมนำไปภาวนาหรอก 

เพราะว่ามันร้อนก็ร้อน เพราะว่ามันหิวก็หิว มันก็ยังมีเรื่องที่จะต้องค้นหา คือหาของกินน่ะ มันหิวโหยอยู่ ...แต่พอถึงเข้ามานั่งลง มันร่มเย็นโดยปริยาย แล้วยังได้ฟังธรรม มีธรรม เสียงตามสายออกมาอีก 

เอ้า มันก็ฟังด้วยความ...ใจก็ร่มเย็น แล้วก็พักเรื่องหิวโหยไว้ก่อน  มันก็ใคร่ครวญตาม..สุตมยปัญญาเกิด จินตามยปัญญาก็มา มันก็ยอมรับ แล้วก็ค่อยๆ เข้าใจ มันก็เกิดความน้อมนำจับไปปฏิบัติได้ชัดเจนขึ้น

เสร็จแล้ว มันก็อยู่อย่างนี้  เข้ามา...เดี๋ยวก็ต้องไป ก็ออกนอกร่มนี่ออกไป เดินในทะเลทรายต่อ ...แต่ทีนี้คือว่ามันได้วิชาไป ...ในระดับที่จะเอาไปใช้ประโยชน์กับตัวเอง

เราถึงบอกว่า เมื่อใดที่สร้างศีลสมาธิปัญญา เจริญศีลสมาธิปัญญามากๆ ขึ้น ...ร่มเงาของตัวเองน่ะ ก็จะเกิดขึ้นเอง เป็นที่พักพิงอาศัย 

จากเท่าใบไมยราพ ก็เป็นใบมะขาม  จากใบมะขามก็แผ่ขยายขึ้นมาเป็นใบบัว  แล้วก็จะค่อยๆ กลายจากใบ...เป็นร่มใหญ่ร่มโตขึ้น

ทีนี้ไปไหนกลางทะเลทรายมันก็มีร่ม สบายใจไม่อนาทร ร้อน หิว กระหาย หรือว่าขวนขวายอะไร ...มันมีร่มเงาอยู่ติดเนื้อติดตัวของตัวเอง 

เพราะร่มเงานี่ก็เกิดจากศีลสมาธิปัญญานั่นเอง ความร่มเย็นก็เกิดภายใน ...ทีนี้มันก็เดินไปเรื่อยได้ ไม่วน ไม่หมุน ...แต่ก็ยังเห็นคนเดินในทะเลทราย...เยอะแยะ ที่ไม่ยอมเข้าร่ม 

เพราะมันคิดว่ามันแน่ มันคิดว่ามันไปได้ ...ไปไหนก็ไม่รู้นะ แต่มันคิดว่ามันไปได้ ทั้งที่ว่าเหงื่อนี่โซก แล้วตัวมันก็ไม่รู้ด้วยว่า...ตัวมันไปไม่รอดหรอก เดี๋ยวก็ตายกลางทะเลทราย ไม่ถึงไหน 

แล้วก็เกิดใหม่อยู่ในทะเลทราย ไม่ไปไหนอ่ะ มาเดินต่อไป ...มีงานมีการทำดีหมด แต่อยู่ในทะเลทรายนั้นน่ะ มีเพื่อนมีฝูงเดินกันเป็นกลุ่ม เกาะกลุ่มกันไป...ตายหมู่ ตายฝูง 

แล้วก็เกิดใหม่ในทะเลทรายอย่างนั้น หิวโหย ร้อนรน แผดเผา ...แล้วก็ไม่รู้สึกเลยว่าผิด เพราะมันเดินกันเต็มไปหมด ...ร่มเงาก็มีเป็นระยะๆ แต่ไม่รู้จักคุณประโยชน์ของร่มเงา

เพราะนั้นตัวมันเอง...มันสร้างร่มเงาเองไม่ได้หรอก เข้าใจมั้ย มันต้องอาศัยร่มเงาผู้อื่นก่อน ...นี่แหละคือสังฆะ นี่แหละคือพุทธะ นี่แหละคือธรรมะ 

แต่ว่าพุทธะ, ธรรมะนี่ มันจะไม่เข้าใจได้ ...ถ้าไม่อาศัยการสื่อผ่านสังฆะหรือสงฆ์ ...สงฆ์ที่เป็นสงฆ์จริงๆ นะ สงฆ์ที่เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า

เมื่อเจอสังฆะนี่ เหมือนกับน้อมนำ หรือว่าได้แผ่ได้ความร่มเย็น ...แล้วมันเข้ามาโอปนยิโก คือน้อมพาตัวเองเข้ามาได้รับความร่มเย็น ...มันก็จะได้เรียนรู้ธรรม แล้วก็ให้เข้าถึงพุทธะ คือดวงจิตผู้รู้ 

หรือผู้รู้ผู้เห็นที่มีอยู่ในตัวเอง ไม่ใช่ผู้รู้ภายนอก ไม่ใช่พุทธะภายนอก ไม่ใช่พระพุทธเจ้าภายนอก ...แต่เป็นพุทธะภายใน ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน หรือใจอันบริสุทธิ์นั่นแหละ เป็นพุทธะพุทโธของทุกสัตว์บุคคล

แต่ว่าโดยลำพังตัวมันเอง ไม่มีทางหรอกที่มันจะรู้จักพุทธะ ธรรมะในตัวของมันเอง ...ต้องอาศัยสังฆะเป็นสื่อถ่ายทอดธรรม แล้วก็ให้ไปสร้างพุทธะ ธรรมะ สังฆะขึ้นด้วยตัวของตัวเอง 

นั่นแหละคือสร้างร่มเงาขึ้นมา แล้วอาศัยที่เมื่อมีร่มเงาแล้ว มันก็เป็นที่พึ่งพิงอาศัยของสัตว์และนกกาต่างๆ ต่อไป ...นี่คืออายุของศาสนาที่มันยืนมาได้ห้าพันปี เพราะการสืบทอดกันมาเช่นนี้ 

แล้วก็ไอ้ร่มเงานี้ก็จะค่อยๆ น้อยลงๆๆ ...ร่มก็จะเล็กลง เงาก็จะแคบลงไปเรื่อยๆ ตามกฎของไตรลักษณ์ ไม่มีอะไรจะถาวร ...มีศาสนาก็มีหมดศาสนา มีพระอริยะก็มีหมดพระอริยะ มันไม่มีคำว่าเที่ยงหรอก

แต่ว่าหมดศาสนาหมดพระอริยะ เดี๋ยวก็มีศาสนา แล้วเดี๋ยวก็มีอริยะขึ้นมาอีก นี่คือกฎของวัฏฏะ ในโลก ...แต่คราวนี้ว่า เมื่อไหร่ ตอนไหน  แค่นั้นเอง ...แต่...เป็นกัปๆ นะ ถ้าหมดแล้วนี่

เพราะนั้นอย่าประมาท อย่าปล่อยให้เวลาล่วงเลยไปโดยไม่มีสาระแก่นสาร ...ลมหายใจเข้าลมหายใจออกที่หมดไปสิ้นไป ทุกลมหายใจเข้า ทุกลมหายใจออก ให้มันหมดสิ้นไปกับศีลสมาธิปัญญา 

อย่าให้มันหมดไปสิ้นไปกับอารมณ์ จมแช่กับอารมณ์ อย่าให้มันหมดไปสิ้นไปจมแช่หายไปกับความคิด จมแช่หายไปกับรูปเสียงกลิ่นรสภายนอก จมแช่หายไปกับอดีตอนาคต...ที่ไม่มีสาระจริง

ไอ้สาระที่มันว่าจริงน่ะ ที่คิดว่าจริงน่ะ...ไม่จริง ...ที่คิดว่าได้จริง มีจริงในปัจจุบันนั้นก็ยังไม่จริง ทำแล้วได้จริง...ก็ยังไม่จริง ...สาระที่สุดคือศีลสมาธิปัญญาในปัจจุบันนั่นเอง 

ให้มันหมดไป ให้มันเต็มเปี่ยมด้วยศีลสมาธิปัญญาทุกขณะไป ...การเกิดการตายหนึ่งครั้งหนึ่งคราในโลก จึงจะมีคุณค่ากับตัวเอง และคนอื่น แล้วก็โลก 

ไม่ใช่เกิดมาเพื่อเบียดเบียนโลก เกะกะโลก เบียดเบียนสัตว์ รังแกสัตว์ กระทบกระเทือนต่อสัตว์ต่อโลก ...ทุกวันนี้โลกมันถึงสั่นสะเทือน เพราะว่าจิตมนุษย์มันกระทบกระเทือนทั้งโลกและสัตว์รอบข้าง 

อะไรที่มากระทบสัมผัสมันน่ะ มันมีแต่จะเข้าไปหาผลประโยชน์ เอาประโยชน์ ...มันก็เกิดการแก่งแย่งชิงดี แล้วก็เห็นแก่ตัว ...หน้าตาดูดี กริยามารยาทดูดี แต่จิตนี่เห็นแก่ตัว เอาแต่ได้ เอาแต่ประโยชน์ 

เพราะว่ามันใส่หน้ากากกันได้ดีขึ้น ปรุงแต่งหน้ากากได้สวยงามขึ้น ...แต่ข้างในก็มืดบอดด้วยความไม่รู้ แล้วก็เอาแต่ประโยชน์ส่วนตัว เห็นแก่ตัว เบียดเบียนผู้อื่น ทำยังไงก็ได้ที่ให้ได้ประโยชน์ตัวเองมากที่สุด

นี่เป็นสันดาน...ที่ต่อไปภายภาคหน้าไม่ไกลนี่  สันดานนี้จะเป็น.. Trend ๆๆ นิยม ตามเทรนด์ ...ศีลธรรมก็น้อยลง ...ใครปฏิบัติธรรมนี่ หูย คัดออกไปเลย ไม่คบ ไม่คบหมู่ ไม่เอา 

คือมันจะไม่รู้สึกเลยว่าศีลและธรรมเป็นความร่มเย็น ผู้ที่ปฏิบัติศีลและธรรมคือความร่มเย็น...ไม่รู้สึกเลย ...แล้วมันก็จะเป็นเทรนด์อย่างนี้ ไม่สุงสิง ไม่ข้องแวะอย่างนี้ ...นี่คือโลกช่วงยุคปลายศาสนาหลังกึ่งพุทธกาล

เพราะนั้นมันก็จะบีบคั้นให้ผู้ปฏิบัตินี่ยากขึ้น แล้วก็ไม่อยากจะเป็นผู้ปฏิบัติด้วย ...ถึงแม้จะมีศรัทธาภายในขนาดไหน...มันก็กลัว มันก็ไม่กล้า 

ไม่กล้าที่จะออกจากโลก ออกจากสังคม ออกจากสายตา ออกจากการกระทำที่ผ่านทางสายตา ที่เขาให้ค่า ดูหมิ่นดูแคลน หรือว่าเสียดสี ด้วยสายตา ด้วยกริยาอาการ คำพูด ก็ตาม

การปฏิบัติก็จะยากขึ้นไปเรื่อย ...เพราะนั้นผู้ปฏิบัติก็ต้องแอบๆ ปลีกเร้นไป โดยที่ไม่ให้ใครรู้ ไม่ให้ใครเห็น ...มันก็เลยยากขึ้นไปเรื่อยๆ 

ไม่เอื้อน่ะ...โลกเหล่านั้น โลกในสมัยนั้น โลกในยุคนั้นๆ ...สัตว์นั้นๆ บุคคลนั้นๆ ในยุคนั้นๆ ไม่เอื้อต่อศีลสมาธิและปัญญาเลย

เพราะนั้นน่ะ การที่มาฝึกสติในปัจจุบัน เหมือนกับเป็นการปูพื้นฐานธรรม มรรคผลและนิพพาน ...การเน้นในเรื่องของสติปัฏฐานมากกว่าธรรมการปฏิบัติในส่วนอื่น...เหมือนปูทางต่อไป เพื่อให้อายุศาสนานี่ครบห้าพัน 

เพราะการเจริญสติ การรู้ตัวในปัจจุบันนี่ มันสามารถทำได้โดยที่ไม่มีใครรู้ใครเห็น มันสามารถทำได้โดยไม่รู้สึกว่าแปลกแยกแตกต่างกับสังคมหรือคนในโลก 

เพราะนั้นการปฏิบัติธรรมมันจึงสามารถดำเนินได้โดยที่ไม่ขัดขวางกับโลกหรือความคิดความเห็นของคนในโลก ...และผู้ปฏิบัติก็จะไม่เอาการปฏิบัติมาอวดอ้างแอบอ้างขึ้นมาได้ 

เพราะว่าพูดไปก็ไม่มีใครเชื่อ เพราะว่าตัวกูก็ดูเหมือนไม่ได้ปฏิบัติ ...มันก็ไม่รู้จะไปพูดยังไง มันก็เดินไปบนเส้นทางมรรคแบบเงียบๆ คนเดียว

นี่ เริ่มจำเพาะแล้ว เริ่มจำเพาะสัตว์บุคคลแล้ว ...เพราะนั้นว่า การยิ่งเดินไปเงียบๆ คนเดียวนี่ มันยิ่งจำกัด ไม่เอิกเกริก ...จำกัดอริยะบุคคลด้วย 

เพราะนั้นความเป็นอริยะก็จะเป็นแบบจำกัดเฉพาะบุคคล จะมากันเป็นกลุ่มๆ หรือว่าเป็นสำนัก หรือว่าอบรมกันเป็นคอร์สๆ แล้วก็สำเร็จกันทั้งคอร์สอะไรอย่างนี้ ...มันจะปลีกแยกเป็นรายๆ ไป เงียบๆ


(ต่อแทร็ก 9/32  ช่วง 2)




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น