วันพุธที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2560

แทร็ก 9/37


พระอาจารย์
9/37 (560112D)
(แทร็กชุดต่อเนื่อง)
12 มกราคม 2556


พระอาจารย์ –  เพราะฉะนั้นให้เชื่อในคุณของศีลสมาธิปัญญาให้มาก ให้เลื่อมใสในศีลสมาธิและปัญญาให้มาก...มากจนถึงขั้นเอาไปลองทำ เอาไปปฏิบัติ เอาไปตั้งอกตั้งใจทำ 

นั่นแหละ ต้องให้เลื่อมใสมากๆ จนถึงขั้นนั้น ทุกคน...ไม่เลือกเพศพรรณวรรณะ วัย สถานะ สถานที่อยู่ ...เพราะศีลสมาธิปัญญานี้เป็นสาธารณธรรม 

นี่เป็นธรรมที่เป็นกลางสำหรับสัตว์และบุคคลทุกประเภท ทุกหมู่เหล่า ไม่จำกัด  เพราะเป็นธรรมที่มีอยู่แล้ว ...แต่มันเข้าไปประกอบเหตุแห่งธรรมเหล่านี้ไม่ถูกต้อง ไม่ตรง เท่านั้นเอง

แต่ถ้าเข้าไปประกอบเหตุให้ถูกต้องตรงแล้ว ธรรมนี้มีอยู่แล้ว ปรากฏให้เห็นเอง ตามเหตุอันควรนั้นๆ ...เมื่อนั้นแหละ โลกนี้ ศาสนานี้ จะไม่ว่างเว้นจากพระอริยะเลย 

ตราบใดที่ยังมีผู้ปฏิบัติเช่นนี้ ซึ่งพระพุทธเจ้าท่านพยากรณ์ไว้เลยว่า...ต้องเป็นอย่างนี้ จนห้าพันปี จะไม่ขาดจากอริยบุคคลเลย ตราบใดที่ยังมีผู้ปฏิบัติ

แต่ต้องเข้าใจก่อนนะ ว่าผู้ปฏิบัติต้องปฏิบัติอย่างไร ไม่ใช่ผู้ปฏิบัติไปเรื่อยเปื่อย ...แต่ผู้ปฏิบัตินั้นจะต้องปฏิบัติตรงต่อมรรค ตรงต่อศีล ตรงต่อสมาธิ ตรงต่อปัญญา 

เมื่อนั้นแหละ จะไม่ว่างเว้นจากอริยจิต อริยบุคคล จนห้าพันปีล่วงลับดับหาย ...เพราะฉะนั้น หมายความว่าทุกคนมีสิทธิ์ ทุกคนมีสิทธิ์ได้รับสิทธิ์นี้ ...ยกเว้นจะสละสิทธิ์ 

ก็อย่าสละสิทธิ์ที่มี สิทธิ์ที่ได้นี้ ...นั่นจึงเรียกว่าน่าเสียดาย การเกิดที่เป็นมงคลสมัย การเกิดที่เป็นมนุสสปฏิลาโภ เป็นมนุษย์ การเกิดมาในที่ปฏิรูปประเทศเป็นมงคล 

การได้สดับตรับฟังรับธรรมพระเทศนาเป็นมงคล การได้สากัจฉาธรรมเป็นมงคล ...มันกี่มงคลเข้าไปแล้วนี่ หือ กลับสละสิทธิ์ซะอย่างนั้น มันน่าเอาหัวไปทิ่มบ่อขี้มั้ย ไม่รู้มันจะเกิดมาทำไม 

นี่ ภาษาหลวงปู่ว่ามันเกิดมาทำไม ทำไมไม่ตายตั้งแต่ยังไม่เกิด มาอยู่เปลืองที่ดินที่นาข้าวปลาอาหารของโลกเขาเปล่าๆ ปลี้ๆ ไม่เป็นคุณค่าแก่โลก แก่สังสารวัฏ

เพราะนั้น ที่พูดเพื่อให้เห็นคุณค่าสำคัญในสิทธิ์ของตัวเองที่ได้มา ...ไม่ใช่มันจะได้ทุกคนนะสิทธิ์นี้ ในโลกเนี้ย ...อย่าสละสิทธิ์ด้วยความเผลอเพลิน ด้วยเห็นความสำคัญของความเผลอเพลินมากกว่า 

ด้วยเห็นความสำคัญของการที่กระทำไปตามอำเภอใจ กระทำไปตามอำนาจของความอยาก อำนาจของความไม่อยาก แล้วได้ผลแห่งความอยากและความไม่อยากกลับคืนมาถ่ายเดียว

คือเราต้องพูดว่าถ่ายเดียว เพราะยังไงมันก็ยังห้ามไม่ได้หรอก ...แต่อย่าให้มันเป็นถ่ายเดียว คือแบบหน้าเดียวน่ะ ...ให้มันมีการใช้สิทธิ์ให้มีคุณค่าควรแก่การได้รับสิทธิ์นี้น่ะ 

ให้มันเต็มที่หน่อย ให้มันเจือเข้ามาในการดำรงชีวิต การดำเนินชีวิตซะหน่อย ...แล้วต่อไปจากนั้นก็ให้มันหลายๆ หน่อย แล้วจากนั้นก็หมายความว่าให้มันสม่ำเสมอเลย ต่อเนื่อง

นั่นแหละ ถึงจะเรียกว่า ใช้คุณค่าคุณประโยชน์ของกายนี้ ขันธ์นี้ แบบเต็มที่สมราคาที่ได้สร้างบุญวาสนาให้ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ...ซึ่งไม่ใช่ง่ายๆ

เพราะพระพุทธเจ้าท่านบอกว่า การเกิดมาเป็นมนุษย์น่ะ เหมือนเต่าลอยคออยู่กลางมหาสมุทร แล้วร้อยปีมีบ่วงบาศคล้องลงมา แล้วโจ๊ะลงหัวเต่านั้นพอดีในมหาสมุทรนั้น 

นั่นแหละการเกิดมาเป็นมนุษย์น่ะ ง่ายมั้ยล่ะ ไม่ใช่ง่าย ...เกิดมาเป็นมนุษย์ก็ไม่ใช่ง่ายแล้วนะ ยังเกิดมาในที่ที่เป็นปฏิรูปประเทศ มันยิ่งยากยิ่งกว่านั้นอีกน่ะ 

แต่กลับไม่รู้จักคุณค่าสิทธิของตัวเองที่พึงได้พึงมี พึงกระทำได้ ...จึงเรียกว่า น่าเสียดาย ในการเกิดมาครั้งนี้ และครั้งต่อๆ ไป ...ยังมี บุญวาสนาเรายังมีในครั้งต่อๆ ไป

แต่อย่าใช้โอกาสนั้นมาก เดี๋ยวจะหมด ใช้มากจนหมด ใช้แบบเปล่าประโยชน์จนหมดโอกาส...มีสิทธิ์หมดโอกาสด้วย 

เพราะนั้นใช้ให้มันเต็มที่ในชาตินี้แหละ ให้มันจบให้ได้ในชาตินี้ ให้มันแจ้งให้ได้ในชาตินี้ ...อย่าไปเชื่อจิตที่มันว่าไม่ได้หรอก ไม่ไหวล่ะมั้ง ประเภทรู้ทุกขณะจิต ละทุกขณะจิตนี่ กูคงฝันไม่ถึงล่ะมั้ง 

อย่าไปเชื่อคำกล่าวอ้างของจิต ที่มันเสี้ยมให้ละให้ทิ้งความพากความเพียรในการปฏิบัติในองค์มรรค
...ทำได้ แต่ไม่ทำ แค่นั้นน่ะ ...เข้าใจได้หมด แต่ไม่เอาความเข้าใจนี้ไปทำสานต่อ ปัญหามันอยู่แค่นี้เอง

เพราะนั้นจึงเรียกว่าโขกสับมันไว้ล่วงหน้า เพราะอีกหลายวันหลายเดือนหลายปี กว่ามันจะมาให้โขกสับใหม่ นั่น เลยต้องโขกสับไว้ล่วงหน้า ...คือประเภททบต้นไว้ก่อน มันจะได้ค้างไว้นานๆ หน่อย

คือที่ให้มันค้างมันคานี่ เป็นธรรมค้างคาอยู่ภายในนั่นแหละดี ดีกว่าให้ค้างคาด้วยกิเลส ...มันก็เลยทบต้นไว้หน่อย โขกไว้หน่อย ...ให้มันลึกลงหน่อย ให้มันลึกลงในกมลสันดาน 

ให้มันเกิดรอยแตกปริอยู่ในสันดานของจิตอวิชชาหน่อย ...ถ้ามันแตกปริด้วยธรรมที่เข้าไปกระแทกกระทั้นนี่  กาวตราช้างก็ติดไม่ค่อยอยู่นะ ...ธรรมก็อยู่นานหน่อย มันจำไม่รู้ลืมอ่ะ 

เพราะธรรมนี่เป็นของจริงนะ ไม่มีอะไรมาลบล้างได้หรอก ...ต่อให้กิเลสมันจะเล่ห์หลอก เล่ห์เหลี่ยมร้อยแปดพันเก้าขนาดไหน ไม่มีทางมาลบล้างสัจจะ สัจธรรมได้ 

มันจึงอยู่ยั้งยืนยงอยู่ภายในหัวจิตหัวใจของสัตว์มนุษย์นั้น ที่ได้ยินและได้ฟัง ...เพราะฉะนั้น นับว่าเป็นบุญที่ได้โดนโขกและสับ ...แต่จะดียิ่งขึ้น ถ้านำความที่ได้ยินได้ฟังนั้นไปทำสานต่อ 

จนก่อเกิดมรรคก่อเกิดผลขึ้นมากับดวงจิตนั้นๆ บุคคลนั้นๆ ...นั่นแหละ มีค่าอันประเสริฐต่อคนรอบข้าง ต่อโลก ต่อสัตว์มนุษย์ ต่อตัวเองเป็นหลักเลย

ถือว่าเป็นการจรรโลงพระศาสนา ถือว่าเป็นการสืบทอดอายุพระศาสนาที่แท้จริง ถือว่าเป็นการสืบทอดธรรมของพระพุทธเจ้าที่แท้จริง ไม่ให้มันล่วงลับดับสูญไปตามกาลสมัย

เพราะฉะนั้นน่ะ เกือบทุกคนในที่นี้...ที่มันขาด ที่มันไม่มีเลย...คือศีล ...และการปฏิบัติภาวนาที่ตรงต่อศีล แล้วก็เพียรคร่ำเคร่งอยู่ในการรักษาศีลนี่น้อยมาก 

จนถึงขั้นบางที อาจจะบางขณะบางความเห็นบางความคิดยังบอกว่า อันนี้ไม่ใช่เรื่องสำคัญเลย ...นี่ มันน่าจะเอาหัวจับมุดน้ำซะ ไอ้จิตดวงนั้นน่ะ ดวงที่มันแส่ส่ายไปมาเป็นความคิดความเห็นเหล่านั้น

เพราะมันจะชักลากให้ออกนอกมรรคเบื้องต้น ...นี่ อย่าประมาทว่าเป็นมรรคเบื้องต้น ชื่อว่าเบื้องต้น ชื่อว่ารากฐาน ชื่อว่าขั้นอนุบาล ขั้นประถมอะไรก็ตามเถอะ 

แต่ถ้าไม่มีขั้นต้นนี้แล้ว ถ้ามันออกจากมรรคเบื้องต้นนี่ ไม่สามารถจะจบปริญญาเอกได้นะ ...แต่ได้อะไรรู้รึเปล่า ...ได้ปริญญาเอกห้องแถวน่ะได้อยู่ ไม่จบดอกเตอร์จริง 

นั่น ไปซื้อเอามาแปะข้างฝาไว้โชว์คนอื่นเท่านั้นแหละ เขาเรียกว่าปริญญาแบบห้องแถว ...เพราะนั้นถ้าเริ่มต้นได้ถูก ได้ตรง ได้ใช่ แล้วนี่ อย่าไปประมาทว่าธรรมนี้เล็กน้อย 

อย่าประมาทว่าธรรมนี้เป็นของต่ำ อย่าประมาทว่าธรรมนี้เป็นของหยาบ อย่าประมาทว่าธรรมนี้เป็นของทำเมื่อไหร่ก็ได้ ...นี่เขาเรียกว่าประมาทในธรรมนะ

ชื่ออาจจะดูว่าเป็น ธรรมขั้นต้น ธรรมเบื้องต้น ธรรมง่ายๆ ธรรมที่ว่าทุกคนมีอยู่แล้ว...นี่ อย่าประมาทธรรมนี้นะ สติในกาย สติในปัจจุบันกายนี่...สำคัญ 

ยืนเดินนั่งนอน คู้เหยียดไหว เย็นร้อนอ่อนแข็ง เหล่านี้ ฟังดูพื้นๆ ฟังดูง่ายๆ ฟังดูว่าไม่เห็นจะต้องทำอะไรกับมันเลย

นี้ต่างหากที่เป็นเรื่องสำคัญที่สุดเลย ที่มนุษย์มองข้ามความเป็นจริงส่วนนี้...ที่จิตผู้ไม่รู้มันมองข้ามความจริงส่วนนี้ แล้วไปหาความจริงส่วนอื่นมาทดแทนความจริงส่วนนี้

เมื่อมันหาอะไรมาทดแทนความจริงส่วนนี้อยู่ตลอดเวลา มันจึงเกิดภาวะที่เรียกว่าประมาทในธรรม ประมาทในศีล ...ถ้าประมาทในศีล ก็พูดง่ายๆ ว่าคือประมาทในองค์มรรคนั่นเอง

ทุกท่านทั้งหลายทั้งปวง จงถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาท...นี่พระพุทธเจ้าบอก สังขารนี้มีความเสื่อมไปสิ้นไปเป็นธรรมดา เธอทั้งหลายจงถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาทเถิด

ประมาทธรรมของพุทธะ ก็เป็นส่วนหนึ่งของความประมาท 

ประมาทอยู่กับความลุ่มหลงมัวเมา ไม่อยู่กับปัจจุบัน ก็เรียกว่าเป็นความประมาท 

ประมาทในการเกิดในการตาย ว่าไม่เกิดว่าไม่ตาย ว่ายังไม่ถึงเวลาเกิด ว่ายังไม่ถึงเวลาตาย ก็คือประมาท

พระพุทธเจ้าถึงเตือนว่า จงถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาทเถิด

ผู้ที่จะอยู่ด้วยความไม่ประมาทที่สุด ก็คือพระอรหันต์ ...ผู้ที่เริ่มต้นกำลังจะทำตัวเองให้ออกจากความประมาท ก็คือผู้ปฏิบัติภาวนานั่นเอง

คือผู้ที่คร่ำเคร่ง เคร่งครัดอยู่ในการรักษาความระลึกรู้ในปัจจุบัน จึงเรียกว่าเป็นผู้ที่กระทำอยู่ซึ่งความไม่ประมาท ทุกขณะ ทุกเวลา ทุกเหตุการณ์ ทุกสถานที่ ทุกครั้ง ตามสติกำลังของตัวคนนั้นๆ 

จนเพียบพร้อมด้วยความรู้เนื้อรู้ตัวตลอดเวลา เป็นอัตโนมัติ นั่นแหละจึงเรียกว่าเป็นผู้ที่ไม่ประมาท

เพราะนั้นกว่าที่มันจะถึงจุดขั้นนั้น ที่ว่าเป็นผู้ที่ไม่ประมาทเลย แม้แต่เสี้ยวหนึ่ง วินาทีหนึ่ง ขณะจิตหนึ่ง ...นี่ จะต้องดำเนินอยู่ในวิถีแห่งมรรคเท่านั้น 

คือสติ ศีลสมาธิและปัญญา จึงจะเป็นไปเพื่อความไม่ประมาท ด้วยความสมบูรณ์แห่งความไม่ประมาทอีกต่อไป ...ทีนี้ไม่เลือกว่าไม่ประมาทในศีลสมาธิปัญญา ไม่ประมาทในเรื่องของการเกิดการตาย 

ไม่ประมาทในการที่ไม่เกิดไม่ตาย หรือประมาทที่มีความสุขความสบายอยู่ตลอดเวลา ...มันจะไม่รวมเลยว่าเรียกว่าอะไร คือไม่ประมาทในสรรพสิ่งทุกความคิดความเห็นเลย ...ความประมาทเกิดขึ้นไม่ได้ 

เพราะอยู่ด้วยความรู้อยู่ตลอดเวลา อยู่ด้วยสติ อยู่ด้วยสัมปชัญญะ อยู่ด้วยความชัดเจนในปัจจุบัน อยู่ในอาการที่ปรากฏทั้งภายในภายนอกอยู่ตลอดเวลา ไม่คลาดเคลื่อนจากธรรมปัจจุบัน

กว่าจะก่อร่างสร้างพีระมิดขึ้นมา ก็ต้องเริ่มจากอิฐก้อนแรกน่ะ วางเรียงอยู่บนผืนดินนั่นเอง เป็นฐาน ที่จะก่อให้เกิดพีระมิดใหญ่โตมโหฬารได้ 

แล้วก็มียอดแหลมเป็นหนึ่งเดียว คือก้อนสุดท้าย ที่สำเร็จจบสิ้นในความเป็นพีระมิด ...แต่ก้อนสุดท้ายจะมีไม่ได้เลย ถ้าไม่มีก้อนแรกที่วางอยู่บนผืนดิน 

ถ้าไม่เริ่มต้นที่นี้ ถ้าไม่อยู่กับที่นี้ ถ้าไม่ตั้งมั่นอยู่กับที่นี้ ถ้าไม่ตั้งมั่นอยู่กับเดี๋ยวนี้ ...หมายความว่าไม่มีรากฐานของพีระมิด มันก็ล้มครืน แตกกระจัดกระจาย ไม่เป็นชิ้นไม่เป็นอัน

อิฐที่มันแตกกระจัดกระจายนี่ เปรียบเหมือนจิตที่มันแตกกระจัดกระจายไม่เป็นชิ้นไม่เป็นอัน ...มันไปตก มันไปอยู่ที่ไหน มันก็ไปก่อร่างสร้างวัตถุ สิ่งก่อสร้างอย่างใหม่ขึ้นใหม่ 

เรียกว่าการเกิดนี่ก็เกิดได้ตลอด เป็นอะไรบ้างก็ไม่รู้ ...เพราะจิตที่มันแตกกระจัดกระจายออกไปแบบไม่มีหัวไม่มีท้าย ไม่มีทิศไม่มีทาง

จึงว่าอย่าประมาทในศีล ว่าเป็นเรื่องหยาบ เบื้องต้น เป็นเรื่องเล็กน้อยได้อย่างไร ...รู้เข้าไปเถอะ กายโง่ๆ กายเฉยๆ ยืนเดินนั่งนอนนั่นแหละ 

สะสมอานิสงส์ของศีลสมาธิ...ให้ต่อเนื่องไม่ขาดสาย ให้ได้มากที่สุดในชีวิตประจำวัน ...ผลก็บังเกิดขึ้นกับผู้ปฏิบัตินั้นเอง

ไม่ต้องคาดหวังห่างไกลอะไรหรอก ให้อยู่กับปัจจุบันกายนั้นเอง เป็นที่ตั้งเป็นที่หยุดอยู่ของจิต ...ให้จิตมันมาหยุดอยู่กับกายปัจจุบันนั่นแหละ 

มันจึงหยุด มันจึงไม่แตกกระสานซ่านกระเซ็นออกไป ในที่ที่มันจะก่อให้เกิดทุกข์ ก่อให้เกิดโทษและภัย ก่อให้เกิดความเกิดตายไม่จบไม่สิ้น

นี่แหละ เท่านี้แหละ การปฏิบัติธรรมก็มีอยู่เท่านี้แหละ ไม่มีมากกว่านี้แล้ว ...ไอ้ที่มากกว่านี้น่ะเกิน ไอ้ที่ออกจากนี้ไปก็เกิน แล้วก็ไอ้ที่ไม่อยู่ในนี้เลยก็ขาด ...มันมีอยู่สองอย่าง ไม่เกินก็ขาด 

แต่ไอ้ที่อยู่กับตรงนี้น่ะน้อย ...ก็ทำให้มันมากซะ อย่าไปขาดๆ เกินๆ ...ไอ้พวกขาดๆ เกินๆ เขาเรียกว่าพวกวิกลจริต จิตวิปริต วิปลาสคลาดเคลื่อนน่ะ เขาเรียกว่าวิกลจริต จิตมันวิปลาสคลาดเคลื่อนออกไป

ก็ระวังให้มันพอดี อยู่ในที่นี้ คือกายปัจจุบันนี้ เป็นที่อยู่ที่ตั้งของจิต...แม้กระทั่งของเรา ...คือแรกๆ มันมี “เรา” ก็ให้เรามันอยู่ซะที่นี้ก่อน จะได้ตีถูกหัวตีถูกตัวมัน 

แต่ถ้ามันมี “เรา” หลายที่ จะตีไม่ถูกตัวมันหรอก เพราะมันมีหลายตัว “เรา” ไม่รู้จะตีตัวไหนก่อนดี ...ก็จับมันให้มันเป็น “เรา” ในปัจจุบันซะ เดี๋ยวถูกหัวมันเองน่ะ 

นี่เขาเรียกว่ารวมมันให้มาอยู่ที่เดียว มันจะได้จัดการได้ง่าย คือตายทีเดียวยกคลอก ...แต่ถ้าออกนอก “นี้” ไปล่ะก็ ไม่จบไม่สิ้น ยืดยาวคราวไกล หาที่หยุดหาที่จบไม่เจอ จิตน่ะ

นะ เอาอันนี้ให้เข้าใจ แล้วไปทำ ตั้งใจทำ...ทุกคน ...ไม่งั้นก็ต้องเกิดมาใหม่ มาเจอพระบ้างแพะบ้าง ยุ่งล่ะมึง ...เจอพระล่ะไม่ยุ่ง เจอแพะล่ะยุ่ง ใช่ไหม หือ 

เอ้า พอ ไม่ต้องถามแล้ว พูดจนไม่มีอะไรให้ถามแล้ว (หัวเราะ) ...ไอ้ที่ถามนั่น กิเลสความสงสัย ไม่ใช่ว่ามันทำถึงแล้วมันสงสัยหรือไม่มั่นใจ ...มันเป็นกิเลส ไม่ต้องถาม


..................................





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น